SHARE

ศึก "เหล็ก" ข้ามโลก : ภาษีเหล็ก 50% ของสหรัฐฯ จากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่ซ้ำเติม “วิกฤตเหล็กไทย”

การปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐฯ เป็น 50% ส่งผลกระทบทางตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเหล็กส่งออกไทย จากภาระต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

การปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐฯ เป็น 50% เพิ่มความเสี่ยงให้เหล็กจากต่างประเทศทะลักเข้ามามากขึ้น

การเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กภายใต้มาตรา 232 ส่งผลกระทบทางตรงต่ออุตสาหกรรมเหล็กของไทยในด้านต้นทุนทางภาษีที่สูงขึ้น แต่คาดว่าผลกระทบค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมูลค่าการส่งออกเหล็กของไทยมีสัดส่วนที่ไม่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าการผลิตเพื่อใช้งานในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่คาดว่าจะมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเหล็กไทยคือ ผลทางอ้อมจากการที่เหล็กจากประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นภาษีจะถูกระบายเข้ามายังไทยมากขึ้น ทั้งเหล็กคุณภาพสูงจากผู้ผลิตเหล็กที่มีศักยภาพในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งสามารถขนส่งระบายสินค้ามายังไทยได้สะดวก ซ้ำเติมปัญหาเหล็กราคาถูกจากจีนที่ยังคงถูกส่งเข้ามาจำหน่ายในไทยอย่างต่อเนื่องจากโครงสร้างต้นทุนที่ต่ำ ทำให้มีความได้เปรียบในการกำหนดราคาได้ต่ำกว่าเหล็กที่ผลิตในไทย

เหล็กจากต่างประเทศที่ถูกระบายเข้ามาจะซ้ำเติมให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทยให้ลดต่ำลงกว่าเดิม จากผลผลิตเหล็กที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงปี 2019-2025 ผลผลิตเหล็กไทยลดลงต่อเนื่อง 2.5%CAGR เนื่องจากราคาเหล็กที่ผลิตในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับราคาเหล็กนำเข้าได้ ประกอบกับกำลังการผลิตเหล็กโดยรวมของประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการตั้งโรงงานเหล็กแห่งใหม่ของนักลงทุนจากต่างชาติ ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทยโดยเฉลี่ยจากเดิมซึ่งเคยอยู่ที่ประมาณ 57% ในปี 2016 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 40% ในช่วงปี 2024-2025 ซึ่งหากมีการนำเข้าเหล็กเพิ่มขึ้น และเหล็กไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ ก็จะส่งผลให้ผลผลิตเหล็กและอัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทยมีแนวโน้มลดลงไปอีก สะท้อนวิกฤตของอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กของไทยที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

การประกาศพ่วงสินค้าอนุพันธ์ภายใต้มาตรา 232 จะกดดันให้การใช้งานวัสดุชิ้นส่วนที่เป็นเหล็กที่ผลิตในประเทศลดลง นอกจากนี้ สินค้าจากไทยมีโอกาสถูกจับตาเรื่องการสวมสิทธิ์

การกำหนดสินค้าที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ 407 รายการที่ต้องเสียภาษีในอัตรา 50% จะกดดันให้ผู้ผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มหาวัสดุอื่นมาทดแทน ทำให้การใช้งานชิ้นส่วนและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเหล็กซึ่งผลิตในประเทศมีความเสี่ยงที่ความต้องการจะลดลง นอกจากนี้ การผลิตเหล็กและสินค้าในกลุ่มที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบของไทย มีสัดส่วนของมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local content/Value added) ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นความเสี่ยงในการถูกพิจารณาให้สินค้าจากไทยเข้าข่ายสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์ (Transshipment) ซึ่งจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นอีก

ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยกระดับไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว

ในระยะสั้น ผู้ประกอบการอาจแสวงหาตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา ขณะเดียวกัน ปัญหาเชิงโครงสร้างก็ยังต้องได้รับการแก้ไขควบคู่กันไป โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ผ่านการบริหารต้นทุนวัตถุดิบ การเพิ่มความยืดหยุ่นด้วยการจัดหาวัตถุดิบจาก Suppliers ที่หลากหลาย ตลอดจนการปรับปรุงเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ยังต้องยกระดับไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง อาทิ ยานยนต์, การบินและอวกาศ และการป้องกันประเทศ รวมถึงพัฒนาไปสู่การผลิต Green steel ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดความเสี่ยงจากการใช้ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนที่มีแนวโน้มถูกนำมาใช้ในหลายประเทศเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากกลุ่มประเทศ EU 

อุตสาหกรรมเหล็กไทยยังจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และการปกป้องอุตสาหกรรม

ภาครัฐมีส่วนสำคัญในการช่วยผู้ประกอบการเหล็กที่มีความเปราะบางจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้ผลิต โดยเน้นไปที่มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตเหล็ก การเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิตเหล็กลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างการสร้างแรงจูงใจด้วยมาตรการทางภาษี การจัดหาแหล่งเงินทุน การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการผลิตเหล็กขั้นสูง สำหรับการปกป้องอุตสาหกรรมภาครัฐสามารถใช้มาตรการที่มีอยู่ เช่น Anti-dumping, Anti-circumvention รวมไปถึงความเข้มงวดในการอนุญาตจัดตั้งโรงงานเหล็กแห่งใหม่ของผู้ผลิตเหล็กจากต่างประเทศ กระตุ้นความต้องการใช้งานเหล็กไทยผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและภาคเอกชน การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมปลายน้ำ และอุตสาหกรรมสมัยใหม่ให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศในสัดส่วนสูง

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ