บาทอ่อนค่า… ใครได้ ใครเสีย
ผู้เขียน: ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ และโสภณ วิจิตรเมธาวณิชย์
ค่าเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างมากหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มในการลดขนาด QE ซึ่งค่าเงินที่อ่อนลงนั้นส่งผลดีและผลเสียที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาคธุรกิจ โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ประเมินว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์ค่อนข้างมาก ได้แก่ ยางพารา และสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งมีการพึ่งพาการส่งออกมาก และมีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศน้อย ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบในเชิงลบมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง และเหล็ก ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวพึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นหลัก มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบค่อนข้างมาก และยังมีความสามารถในการส่งผ่านราคารวมไปถึงอัตรากำไรสุทธิที่ไม่สูงมากนัก สำหรับภาคบริการนั้น การก่อสร้างมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด ในส่วนของการท่องเที่ยวนั้น EIC ประเมินว่าการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นผลดีต่อทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว และปริมาณการใช้จ่าย แต่ผลกระทบน่าจะมีไม่มากนัก ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2013 เป็นต้นมา โดยหากพิจารณาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงประมาณ 7.6% ซึ่งการอ่อนค่าลงดังกล่าวเป็นผลหลักมาจากแนวโน้มการชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2013 และแนวโน้มเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G3 ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยทั้ง 2 ปัจจัยทำให้เงินทุนโลกมีแนวโน้มไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่ง EIC ประเมินว่าในระยะต่อไป ภาวะเงินทุนโยกย้ายกลับสู่ประเทศพัฒนาแล้วนี้จะทำให้โอกาสที่ค่าเงินจะกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็วเหมือนช่วงต้นปี 2013 จะไม่มีมากนัก (รูปที่ 1) การอ่อนค่าของเงินบาทนี้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆ แตกต่างกัน โดย EIC ประเมินว่า ปัจจัยหลักที่จะกำหนดผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ 1) สัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก (Export Reliance) การอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลให้ผู้ส่งออกมีรายรับที่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาท และยังเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกปรับลดราคาในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯลงเพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออก ดังนั้นอุตสาหกรรมที่พี่งพาการส่งออกมากมีแนวโน้มที่จะได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาทมากกว่าอุตสาหกรรมที่พี่งพาการส่งออกน้อย จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม อาหารทะเลแปรรูป เครื่องนุ่งห่ม ผักและผลไม้แปรูป ยางพารา อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกมากกว่า 60% ของการผลิต ในขณะที่ เครื่องดื่ม ปิโตรเลียม เหล็ก ผลิตภัณฑ์ยาง กระดาษ เคมีภัณฑ์ ผลิตการส่งออกต่ำกว่า 30% ของยอดการผลิต 2) สัดส่วนการพึ่งพาวัตถุดิบจากการนำเข้า ( Import content) การอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และจะส่งผลกระทบทางลบต่อธุรกิจที่เน้นใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศในการผลิต กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศรวมไปถึงน้ำมันมากกว่า 50% ของวัตถุดิบทั้งหมด ได้แก่ ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ กระดาษ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะที่อุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าน้อยได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสำหรับภาคบริการนั้น กลุ่มธุรกิจที่พี่งพาวัตถุดิบนำเข้าและนำมันในสัดส่วนที่สูงเกิน 30% ของต้นทุนทั้งหมด ได้แก่ ขนส่ง ก่อสร้าง และ ไฟฟ้าและสาธารณูปโภค 3) ความสามารถในการส่งผ่านต้นทุน และอัตรากำไรสุทธิ สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางลบจากต้นทุนนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนั้น ความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนจะเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถชดเชยการเพิ่มขึ้นของต้นทุน โดยความสามารถนี้จะขึ้นกับปัจจัยต่างๆ เช่น แนวโน้มอุปสงค์ จำนวนผู้ขายในตลาด และการควบคุมราคา หรือสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้อัตรากำไรสุทธิก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน โดยธุรกิจที่มีอัตรากำไรสุทธิในระดับต่ำจะมีความอ่อนไหวต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าธุรกิจที่มีอัตรากำไรสุทธิในระดับสูง
รูปที่ 1 เงินบาทอ่อนค่ามากเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี และมีแนวโน้มอ่อนค่าไปอีกระยะหนึ่ง ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg
|
![]() |
|
|||
|