เกาะเทรนด์โมเดลธุรกิจยุคดิจิทัลขานรับ 4G
ในยุคที่ผู้คนหันมาใช้งานด้านข้อมูลแทนที่การใช้บริการเสียง เทคโนโลยี 4G จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นยอดการใช้งานด้านข้อมูลและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการมือถือ โดยในต่างประเทศ 4G มีบทบาทในการเพิ่มรายได้ต่อเลขหมายให้แก่ผู้ประกอบการกว่า 2-3% ต่อปี พลิกจากช่วงก่อนมี 4G ที่รายได้ต่อเลขหมายหดตัวลงอย่างต่อเนื่องกว่า 2-4% ต่อปี อย่างไรก็ดี เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ผู้ประกอบการมือถือจำเป็นต้องดึงศักยภาพของ 4G ให้ได้มากที่สุด โดยพัฒนาโมเดลธุรกิจเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับกระแสของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยอีไอซีมองว่า 3 โมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ การร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการ Over-the-Top (OTT) การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และการเชื่อมต่อเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) กับโครงข่ายมือถือ
ผู้เขียน: อิสระสรรค์ กันทะอุโมงค์
Highlight
|
เทคโนโลยี 4G ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้ประกอบการใช้เพื่อกระตุ้นยอดการใช้งานมือถือและรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วของเทคโนโลยี 4G ที่เหนือกว่าเทคโนโลยี 3G ประมาณ 3-5 เท่า จึงทำให้ผู้บริโภคสามารถรับชมเนื้อหาต่างๆ ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งในมุมของผู้ประกอบการแล้ว ความเร็วที่สูงขึ้นย่อมกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีการใช้งานด้านข้อมูลมากขึ้น ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูงขึ้นตามมา โดยจากกรณีศึกษาของผู้ประกอบการมือถือในเอเชีย 16 ราย พบว่า 4G มีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มปริมาณการใช้งานข้อมูล และทำให้ค่าบริการเฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue Per User: ARPU) ที่เคยหดตัวลงอย่างต่อเนื่องราว 2-4% ต่อปี กลับมาขยายตัวเป็น 2-3% ต่อปี ภายในระยะเวลา 2 ปี หลังจากการเปิดให้บริการ 4G
อย่างไรก็ดี 4G อาจช่วยกระตุ้นรายได้ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งหากผู้ประกอบการยังคงดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม ก็อาจไม่สามารถรักษาการเติบโตของรายได้ในระยะยาวได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรแสวงหากลยุทธ์รูปแบบใหม่เพื่อใช้ประโยชน์จาก 4G ให้ได้มากที่สุด ในประเทศที่มีการเปิดให้บริการ 4G เป็นระยะเวลานาน จะเริ่มเห็นสัญญาณการอิ่มตัวของการใช้งานมือถือเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น SK Telecom ค่ายมือถืออันดับ 1 ของเกาหลีใต้ ที่แทบจะไม่มีการเติบโตของ ARPU ในช่วงปี 2015 ที่ผ่านมา ต่างจาก 3 ปีก่อนหน้าที่มีอัตราการเติบโตของ ARPU แบบก้าวกระโดดกว่า 7% ต่อปี สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ผู้ประกอบการมือถือในต่างประเทศต้องปรับตัวและพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ตอบรับกระแสผู้บริโภคยุคใหม่ เพื่อกระตุ้นการใช้งานมือถือจากเทคโนโลยี 4G ให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยอีไอซีมองว่า 3 โมเดลธุรกิจที่น่าสนใจในยุค 4G ได้แก่ 1) การร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการ Over-the-Top (OTT) 2) การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และ 3) การเชื่อมต่อเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) กับโครงข่ายมือถือ
1) การร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการ Over-the-Top (OTT) หรือผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นสื่อสารและแพร่ภาพและเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการมือถือสามารถใช้เพื่อพลิกวิกฤติและภัยคุกคามจากผู้ประกอบการ OTT ให้เป็นโอกาสได้ บริการ OTT ประเภทติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น Line และ Whatsapp ถือเป็นบริการที่เข้ามากินส่วนแบ่งตลาด SMS ของผู้ประกอบการมือถือโดยตรง โดย Analysis Mason บริษัทที่ปรึกษาด้านโทรคมนาคมชั้นนำ คาดการณ์ไว้ว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีผู้ใช้บริการ SMS แบบดั้งเดิมไม่ถึง 4% นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ OTT ยังใช้โครงข่ายและแบนด์วิธของผู้ประกอบการมือถือโดยไม่ต้องลงทุนเองหรือเสียส่วนแบ่งรายได้ให้อีกด้วย ทำให้ผู้ประกอบการมือถือได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งในแง่ของการเสียส่วนแบ่งรายได้ และเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงข่ายมือถือ
อย่างไรก็ดี ด้วยความนิยมของบริการ OTT ที่ทวีมากขึ้นในยุคปัจจุบัน จึงทำให้ผู้ประกอบการมือถือไม่สามารถต้านทานกระแสดังกล่าวได้ และจำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ประกอบการ OTT เพื่อรักษาส่วนแบ่งรายได้ให้มากที่สุด โดยในต่างประเทศ เริ่มมีผู้ประกอบการมือถือบางรายหันมาเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการ OTT แล้ว เช่น E-Plus ผู้ประกอบการมือถือของเยอรมนี ที่ร่วมมือกับ Whatsapp ผลิตซิมการ์ดเพื่อใช้งาน Whatsapp แบบไม่จำกัด ซึ่งแนวทางดังกล่าว นอกจากผู้ประกอบการมือถือจะได้ส่วนแบ่งรายได้แล้ว ยังเป็นการสร้างข้อได้เปรียบและความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นในตลาดอีกด้วย
นอกจากนี้ การร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการ OTT ประเภทแพร่ภาพเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ต อาทิ Netflix, iFlix และ Line TV ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้เพื่อกระตุ้นยอดการใช้งานข้อมูล เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่ใช้รับชมวิดีโอเพียง 1 นาทีนั้น เทียบเท่ากับการส่งอีเมล์ถึง 500 ฉบับเลยทีเดียว
2) อีกหนึ่งกลยุทธ์คือการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุค 4G ในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคทั่วโลกมีแนวโน้มทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับชมสื่อผ่านโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ กว่าครึ่งหนึ่งของเวลาที่ใช้รับชมสื่อทั้งหมด หรือการเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 12% ของการซื้อสินค้าทั้งหมดภายในปี 2019 จากเพียง 7% ในปี 2015 สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายรายหันมาพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น NTT Docomo ค่ายมือถืออันดับ 1 ของญี่ปุ่น พัฒนา “dmarket” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการเล่นเกม อ่านการ์ตูน ดูหนัง ฟังเพลง และซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยนอกจากแพลตฟอร์มดังกล่าวจะตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่แล้ว ยังเป็นอีกช่องทางที่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติม สะท้อนให้เห็นจากยอดการใช้จ่ายผ่าน dmarket ที่เพิ่มขึ้นถึง 50% ภายในระยะเวลา 2 ปี สวนทางกับรายได้จากการให้บริการมือถือที่แทบจะไม่มีการเติบโตเลยในช่วงเวลาเดียวกัน
3) การเชื่อมต่อ Internet of Things (IoT) เข้ากับโครงข่ายมือถือ เป็นอีกแนวทางที่ผู้ประกอบการสามารถใช้เพื่อสร้างรายได้จากทั้งการขายเทคโนโลยีและสินค้า รวมถึงการให้บริการ IoT เป็นเทคโนโลยีเชื่อมต่ออุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ยกตัวอย่างเช่น การควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น ทีวี เครื่องซักผ้า หรือเครื่องทำกาแฟ และการควบคุมอุณหภูมิภายในบ้านผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งอุปกรณ์ภายในบ้านที่เชื่อมต่อกับระบบ IoT มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 พันล้านเครื่องทั่วโลกภายในปี 2019 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 67% ต่อปี ถือเป็นโอกาสแก่ผู้ประกอบการมือถือในการเข้ามาลงทุนในธุรกิจอื่นที่นอกเหนือไปจากการให้บริการเสียงและข้อมูล โดยผู้ประกอบการมือถือสามารถสร้างรายได้ทั้งจากการขายเทคโนโลยีและสินค้า รวมถึงค่าบริการในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ผ่านโครงข่ายมือถือ นอกจากนี้ ยังสามารถขยายแนวทางการสร้างรายได้จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ในอนาคตได้อีกด้วย
IoT ไม่ได้จำกัดบริบทเพียงแค่การใช้งานภายในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่อระหว่างสิ่งของหรือเครื่องจักรในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมือถือสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมได้อีกด้วย โดยตัวอย่างความสำเร็จที่เห็นเด่นชัดคือกรณีของ AT&T ผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ใช้ IoT เป็นเครื่องมือในการขยายฐานลูกค้าไปยังหลากหลายธุรกิจ เช่น บ้านอัจฉริยะเพื่อผู้ใช้งานทั่วไป รถยนต์อัจฉริยะเพื่อผู้ใช้งานทั่วไปและภาคธุรกิจ และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น
![]() |
|
|
รูปที่ 1: เทคโนโลยี 4G ช่วยกระตุ้นค่าบริการเฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue Per User: ARPU) และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการมือถืออย่างมีนัยสำคัญ |
||
![]() |
||
หมายเหตุ: ใช้ค่าเฉลี่ยจากบริษัท SingTel, SKT, STH, KT, LGT, M1, TWM, FET, CHT, DIGI, Celcom, Maxis, China Mobile, GLOBE, PLDT และ NTT Docomo T = ปีที่มีการเปิดให้บริการ 4G ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg และ Deutsche Bank |
รูปที่ 2: อัตราการเติบโตของค่าบริการเฉลี่ยต่อเลขหมายของ SK Telecom เริ่มชะลอตัวในปี 2015 |
||
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ SK Telecom |
รูปที่ 3: รายได้จากการให้บริการ dmarket ของ NTT Docomo เพิ่มขึ้นกว่า 50% ภายในระยะเวลา 2 ปี สวนทางกับรายได้จากการให้บริการมือถือที่แทบจะไม่มีการเติบโตเลยในช่วงเวลาเดียวกัน |
||
![]() |
||
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ NTT Docomo |
รูปที่ 4: อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เชื่อมต่อกับระบบ IoT มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.8 พันล้านเครื่องภายในปี 2019 |
||
![]() |
||
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Business Intelligence |