EIC คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สู่ 1.25% ในปีนี้ และ 2% ในปีหน้า
EIC ประเมินว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน 2022 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.25%
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 0.75% เป็น 1.00% ต่อปี
โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แม้แรงกดดันด้านอุปทานจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มคลี่คลาย โดยแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ก่อนหน้า คณะกรรมการจึงเห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม และในกรณีที่แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ คณะกรรมการพร้อมจะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อไป
กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง 3.3% และ 3.8% ในปี 2022 และ 2023 ตามลำดับ
ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ โดยภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้ง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วถึงมากขึ้น ทั้งในมิติสาขาธุรกิจ โดยเฉพาะภาคบริการ และในมิติรายได้ที่เริ่มกระจายตัวดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอลงกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการส่งออก แต่ไม่กระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
กนง. คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2022 และ 2023 จะอยู่ที่ 6.3% และ 2.6% ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกและปัญหาห่วงโซ่อุปทานทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2022 และ 2023 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.6% และ 2.4% ตามลำดับ โดยสูงขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ด้านค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มขึ้นในบางภาคธุรกิจและบางพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นในวงกว้าง นอกจากนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังมีจำกัดเนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยจะต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น หากผู้ประกอบการเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนหลายด้านพร้อมกัน
กนง. ประเมินว่า ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพและภาวะการเงินยังผ่อนคลาย
แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทยอยปรับสูงขึ้น แต่ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุน ขณะที่ค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าเร็วและต่อเนื่องสอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาคตามการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยการอ่อนค่าของเงินบาทไม่ส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าและครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ ส่งผลให้คณะกรรมการเห็นว่าควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง