ตลาดแรงงานไทย : ความเปราะบางภายใต้เลขว่างงานที่ดูแข็งแรง
แม้อัตราการว่างงานไทยจะปรับลดลงเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำต่อเนื่องนาน เริ่มส่งผลให้ตลาดแรงงานไทยอ่อนแอภายในชัดเจนขึ้น
เศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่อง ตลาดแรงงานไทยเริ่มออกอาการอ่อนแอ
แม้อัตราการว่างงานไทยจะปรับลดลงเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 จากสูงสุด 2.25% ในช่วง Q3/2021 มาอยู่ที่ราว 1% ตั้งแต่ปี 2023 ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยก่อนโควิดได้แล้ว แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำต่อเนื่องนาน เริ่มส่งผลให้ตลาดแรงงานไทยอ่อนแอภายในชัดเจนขึ้น สะท้อนจากข้อมูลอัตราการว่างงานบางกลุ่มที่เริ่มปรับสูงขึ้น ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานบางกลุ่มเริ่มปรับแย่ลง โดย (1) อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมสูงขึ้นอยู่ที่ 2.3% ในเดือน ก.ค. 2025 จาก 2.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 และเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 3 ปี (2) อัตราการว่างงานแรงงานอายุน้อย (15-24 ปี) สูงขึ้นอยู่ที่ 5.9% ณ Q2/2025 สูงสุดตั้งแต่ปี 2023 โดยเฉพาะอัตราการว่างงานแรงงานกลุ่มนี้ที่จบปริญญาตรีขึ้นไปสูงถึง 18.9% ใน Q2/2025 เร่งตัวจาก 16.1% ใน Q1/2025 (3) ผู้มีงานทำลดลงต่อเนื่องสะสมกว่า 5 แสนคนเมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งเป็นปีที่มีผู้มีงานทำสูงสุดเกือบ 40 ล้านคนหลังตลาดแรงงานฟื้นกลับมาจากโควิด และ (4) ชั่วโมงทำงาน Full-time และล่วงเวลา (OT) ปรับลดลง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% ขณะที่ผู้ทำงานไม่เต็มเวลามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จากปี 2024 อยู่ที่ 5.8% เมื่อเทียบกับผู้มีงานทำทั้งหมด
โควิด-19 สร้างแผลเป็นในตลาดแรงงาน ทั้งด้านรายได้และการเคลื่อนย้ายแรงงาน
วิกฤตโควิด-19 ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในตลาดแรงงานอยู่ เห็นได้จาก (1) รายได้ที่แท้จริง (รวม OT โบนัส) ฟื้นช้า ข้อมูล ณ Q2/2025 ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ปี 2019 อีกราว 1.2% สะท้อนว่ารายได้แรงงานที่แท้จริงยังไม่ฟื้นเต็มที่ (2) คุณภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานแย่ลง สัดส่วนแรงงานทำงานนอกระบบมีทิศทางสูงขึ้น โดยในปี 2024 สัดส่วนนี้เพิ่มเป็น 52.8% ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอิสระ รายได้เฉลี่ยต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบเท่าตัวและรายได้ไม่แน่นอน เข้าถึงสิทธิสวัสดิการหรือหลักประกันทางสังคมไม่มากเท่า การฟื้นตัวของรายได้แรงงานกลุ่มนี้จึงช้ากว่า และมีผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวของภาพรวมรายได้แรงงานไทยในช่วงที่ผ่านมาและในระยะข้างหน้า
แรงงานไทย 5 ล้านคนเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบทางตรงและอ้อมจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ
SCB EIC ประเมินแรงงานไทยราว 5 ล้านคน (12% ของลูกจ้างทั้งหมด) เสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ผ่านการลดการจ้างงาน/ชั่วโมงทำงาน หากธุรกิจไทยแข่งขันในตลาด ทั้งในและต่างประเทศยากขึ้นจากเหตุการณ์นี้ อาจมีธุรกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงผ่านการส่งออกไปสหรัฐฯ หรือได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านกำลังซื้อโลกชะลอตัว สินค้าต่างประเทศตีตลาดรุนแรงขึ้น รวมถึงการเผชิญความเปราะบางในประเทศ ประเมินกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ยางพารา, สิ่งทอ, ยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์, Electronic component และ Consumer electronics & HDD สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ประเมินว่ามีความเสี่ยงปานกลาง เช่น มันสำปะหลัง, น้ำตาล, ปาล์มน้ำมัน, ท่องเที่ยวและโรงแรม, ขนส่งและโลจิสติกส์ และค้าปลีก (สัดส่วนจ้างงานเกือบ 10% ของลูกจ้างทั้งหมด)
ตลาดแรงงานไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ตลาดแรงงานไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างหลายด้านที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวโดยเฉพาะ (1) ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2024 กำลังแรงงานลดลงต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานรุ่นใหม่มีจำนวนไม่เพียงพอและยังขาดทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาด (2) ผลิตภาพแรงงานลดลงต่อเนื่อง ข้อมูล OECD Productivity Statistics พบว่า ในช่วงปี 2020-2024 ผลิตภาพแรงงานไทยหดตัวเฉลี่ย 0.6% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ที่เติบโตเฉลี่ยถึง 4% สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม และถูกซ้ำเติมด้วยผลกระทบจากโควิด-19 (3) การลงทุนทักษะแรงงานจากนายจ้างไม่ทั่วถึง ส่งผลให้แรงงานไม่มีโอกาสเรียนรู้หรือปรับตัวสู่ทักษะใหม่ที่จำเป็นในยุคดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว ขณะที่แรงงานขาดโอกาสและแรงจูงใจพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ
แรงงานไทยต้องใช้กลยุทธ์ “3 ปรับ” รับมือโจทย์ท้าทาย
แรงงานไทยต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวที่อาจกระทบต่อรายได้และการจ้างงาน ทั้งจากสงครามการค้านอกประเทศและความท้าทายในประเทศเอง และเริ่ม “ 3 ปรับ” ช่วยรับมือความเสี่ยงข้างหน้า เพราะความช่วยเหลือจากมาตรการภาครัฐทางเดียวอาจไม่เพียงพอ ไม่ทั่วถึง และไม่ยั่งยืนเท่าการเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันที่ตัวเอง โดย
(1) “ปรับทักษะ” มีมุมมองเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) มุ่งเรียนรู้ทักษะใหม่ ใช้เทคโนโลยีเป็น (เช่น ดิจิทัล AI) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อมีทักษะใหม่พร้อมใช้ตามความต้องการของตลาดแรงงานทุกเมื่อ
(2) “ปรับทัศนคติการเงิน” มีความยืดหยุ่นทางการเงิน (Financial resilience) จัดการบัญชีรายรับรายจ่าย สร้างรายได้หลายทาง มีวินัยการออมและชำระหนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน
(3) “ปรับตัวทันโลก” ตามเทรนด์โลกและรูปแบบการทำงานใหม่ (Adaptability) ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เปิดรับรูปแบบการทำงานและค่านิยมใหม่ จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน เรียนรู้ และเปิดใจรับโอกาสใหม่ เพื่อให้อยู่รอดได้ในตลาดแรงงานยุคใหม่