SHARE

เศรษฐกิจไทยอ่อนแรง ส่งออกเริ่มแผ่ว และความเสี่ยงเงินฝืดสูงขึ้น มองชุดนโยบาย Quick Big Win จะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น แต่ผลต่อ GDP ยังมีจำกัด

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงมาก เสี่ยงโตไม่ถึง 1% ตลอดครึ่งปีหลังถึงครึ่งแรกปีหน้า



Key highlights


1. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงมาก เสี่ยงโตไม่ถึง 1% ตลอดครึ่งปีหลังถึงครึ่งแรกปีหน้า การส่งออกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน หลังสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้

· ส่งออกมีแนวโน้มหดตัวสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้ถึงปี 2569
แม้ส่งออกเดือน ส.ค. ยังโต 5.8% แต่ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยเฉพาะ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทองคำ ตัวเลขส่งออกที่ไม่รวมปัจจัยเฉพาะหดตัวราว -2% สะท้อนผลกระทบภาษีทรัมป์ชัดเจนขึ้น

· การบริโภคภาคเอกชนน่าห่วง
จากหนี้ครัวเรือนสูง ท่ามกลางรายได้ฟื้นช้า สินเชื่อหดตัว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ

· อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยฟื้นตัวดีขึ้น
ภาครัฐเตรียมออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญของไทย

2. ในระยะต่อไป ต้องติดตามความเสี่ยงเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน โดยเฉพาะความเสี่ยงเงินฝืด

· SCB EIC ประเมินเงินเฟ้อไทยเฉลี่ยใกล้ศูนย์ในปีนี้และปีหน้า
ปีนี้มองติดลบ -0.1% และปีหน้าอยู่ที่ 0.2% ผลจากราคาพลังงานที่ลดลงและมาตรการช่วยค่าครองชีพของรัฐบาล ตลอดจนอุปสงค์ในประเทศที่จะแผ่วลง

· ความเสี่ยงเงินฝืดเพิ่มขึ้น
จาก (1) เงินเฟ้อทั่วไปติดลบนาน 6 เดือนและอาจต่อเนื่องถึง Q1/2569 (2) สัดส่วนสินค้าที่ราคาลดลงเพิ่มต่อเนื่องเป็น 43% ของตะกร้าเงินเฟ้อ (3) รายได้ครัวเรือนฟื้นช้า หนี้สูง และอุปสงค์อ่อนแรง ส่งผลกดดันกำไร การลงทุน และการจ้างงานของภาคธุรกิจ

· ดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มลดลงอีก
SCB EIC คาด กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งเหลือ 1.25% ในเดือน ธ.ค. และอีกครั้งในช่วงต้นปี 2569 สู่ระดับ 1% เพื่อประคองเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง

3. นโยบาย Quick Big Win เน้นประคองเศรษฐกิจ แต่ผลกระตุ้นเพิ่มยังจำกัด

· ชุดนโยบายรัฐบาลใหม่ Quick Big Win ช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ผลกระตุ้นจำกัด
มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาทจะช่วยหนุนการบริโภคในระยะสั้น แต่ผลบวกเพิ่มเติมต่อ GDP มีจำกัด เพราะจัดสรรจากงบประมาณเดิม ไม่ได้เพิ่มวงเงินกู้ใหม่ และการใช้จ่ายอาจลงเศรษฐกิจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น ใช้จ่ายซื้อสินค้านำเข้า ใช้จ่ายให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการที่อยู่นอกระบบภาษี

4. เศรษฐกิจโลกจะเริ่มถูกกระทบจากภาษีทรัมป์ ขณะที่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกเร่งตัว

· เศรษฐกิจโลกจะเริ่มชะลอลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องในปี 2569
โดยยังได้แรงหนุนจากนโยบายการคลังผ่อนคลายและดอกเบี้ยขาลง รวมถึงการลงทุน AI ในหลายประเทศ

· ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กลับมาเร่งตัว
สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีจีนอีก 100% ขณะที่ปัญหาการเมืองโลกรุนแรงขึ้น รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญ Government shutdown และเสี่ยงยืดเยื้อ

· ธนาคารกลางหลักผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง
เช่น Fed คาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง รวม 75 bps ในปีนี้ ขณะที่ ECB จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งสู่ระดับ 1.75% ปลายปีนี้ สิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงรอบนี้ ด้าน PBOC จะผ่อนคลายดอกเบี้ยต่อเนื่องถึงปีหน้า

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำต่อเนื่องในปีนี้และปีหน้า อาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% ในช่วงครึ่งปีหลังถึงครึ่งแรกของปีหน้า

SCB EIC ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้าขยายตัวต่ำ 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ เสี่ยงโตไม่ถึง 1% ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยาวถึงครึ่งแรกปีหน้า การส่งออกมีสัญญาณชะลอตัวหลังสหรัฐฯ เก็บภาษีไทย 19% สะท้อนความจำเป็นของนโยบายประคองเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค. ยังขยายตัวได้ 5.8% แต่ชะลอลงมากจากเดือนก่อน หมวดสินค้าที่ขยายตัวได้มาจากปัจจัยเฉพาะ ได้แก่ 1) การเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไม่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่ม และส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกขาขึ้นและกระแสการลงทุน AI ในโลก 2) การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปที่เร่งตัวตามราคาทองคำ หากไม่นับปัจจัยเฉพาะนี้ ตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค. หดตัวราว -2% สะท้อนผลมาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มกดดันการส่งออกไทยชัดเจน มองไปข้างหน้า SCB EIC คาดมูลค่าส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องไปปี 2569 เสี่ยงหดตัวสูง ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ถึงครึ่งแรกของปีหน้า

การบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไปยังน่าห่วง โดยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 2/2568 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 86.8% แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะมีทิศทางปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่สาเหตุหลักเพราะหนี้ครัวเรือนหดตัว จากทั้งความต้องการกู้ที่ลดลงตามความสามารถในการชำระหนี้และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อตามความกังวลหนี้ด้อยคุณภาพที่ยังสูง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะปรับดีขึ้นบ้างในระยะสั้นจากความชัดเจนทางการเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องอีกหลายเดือน และจะยังไม่กลับเข้ากรอบเงินเฟ้อทั้งในปีนี้และปีหน้า สาเหตุหลักจากแนวโน้มราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลง และนโยบายช่วยลดค่าครองชีพของรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลหน้าปั๊มที่มีแนวโน้มปรับลดลงเฉลี่ยต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรในปีหน้า ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลก ซึ่งจะช่วยให้สถานะกองทุนน้ำมันกลับเป็นบวกได้ใน Q1/2569 สำหรับมุมมองอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 คาดว่าจะติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีอยู่ที่ -0.1% ส่วนในปี 2569 แม้เงินเฟ้อจะกลับเป็นบวกได้แต่จะยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.2% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ค่อนข้างมาก ท่ามกลางแนวโน้มอุปสงค์ในประเทศที่แผ่วลง

SCB EIC ประเมินว่า แม้ตอนนี้ไทยยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด แต่ความเสี่ยงเงินฝืดเพิ่มขึ้นมาก สะท้อนจาก (1) เงินเฟ้อทั่วไปติดลบนาน 6 เดือนแล้ว และมีแนวโน้มจะติดลบต่อเนื่องถึง Q1/26  (2) สินค้าที่ราคาลดลงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 43% ของตะกร้าเงินเฟ้อ ณ ก.ย. (เดือนก่อน 40%) แม้สินค้าที่ราคาลดลงส่วนใหญ่อยู่ในหมวดพลังงานและอาหารสดที่ราคาผันผวนตามมาตรการภาครัฐและปัจจัยอุปทาน แต่เริ่มเห็นกระจายตัวไปราคาหมวดสินค้าพื้นฐานมากขึ้น (3) รายได้ครัวเรือนฟื้นช้า และปรับลดลงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิด Covid-19 รวมถึงภาระหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง และสินเชื่อครัวเรือนที่หดตัวต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยกดดันให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ ขณะที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญการแข่งขันสูงด้านราคาจากสินค้าจีนนำเข้า และมีอำนาจการขึ้นราคาสินค้าต่ำในภาวะอุปสงค์ยังอ่อนแรง ยิ่งกดดันอัตรากำไร การลงทุน และการจ้างงานในอนาคต ซึ่งจะเป็นวัฎจักรเชิงลบต่อเศรษฐกิจ

นโยบายรัฐบาลใหม่ Quick Big Win เน้นประคองเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ผลกระตุ้น GDP เพิ่มยังจำกัด

รัฐบาลอนุทิน 1 แถลงชุดนโยบาย “Quick Big Win” ตั้งเป้า “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” แม้รัฐบาลประกาศจะยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย หลายนโยบายมุ่งกระตุ้นการบริโภคครัวเรือนทันที เช่น มาตรการคนละครึ่ง พลัส วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท เร่งให้ใช้จ่ายใน 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2569 โดยจัดสรรจากวงเงินงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจราว 1.5 แสนล้านบาท และกำลังพิจารณามาตรการอื่นเพิ่มเติม เช่น กระตุ้นท่องเที่ยว เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ โดย SCB EIC ประเมินผลนโยบายคนละครึ่งฯ กระตุ้น GDP เพิ่มเติมจากการประเมินเดิมยังจำกัด เนื่องจากวงเงินจัดสรรจากงบประมาณโครงการอื่น ไม่ได้เป็นเม็ดเงินใหม่ นอกจากนี้บางส่วนของมาตรการอาจรั่วไหลออกจากระบบเศรษฐกิจ เช่น ใช้จ่ายซื้อสินค้านำเข้า หรือใช้จ่ายให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการที่อยู่นอกระบบภาษี

กนง. คงดอกเบี้ย 1.5% ในเดือน ต.ค. ตามคาด SCB EIC คงมุมมองดอกเบี้ยจะลดอีก 2 ครั้งในเดือน ธ.ค. และต้นปีหน้า

SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และปรับลดอีกครั้งในช่วงต้นปี 2569 ลงมาอยู่ที่ 1.0% แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จนถึงครึ่งแรกของปี 2569 เนื่องจากความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือนจะกดดันอุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ภาวะการเงินไทยยังตึงตัวสูง ไม่สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพอยู่มาก SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และอีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้าไปที่ระดับ 1% นโยบายการเงินจะมีบทบาทช่วยลดความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

เศรษฐกิจโลกจะเริ่มถูกกดดันจากภาษีสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปี ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกสูงขึ้น

กิจกรรมเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลงบ้างในช่วงปลายไตรมาส 3 แต่ยังขยายตัวในระดับที่ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจก่อนเจอกำแพงภาษีสหรัฐฯ นโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายในหลายเศรษฐกิจหลัก รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมและสินค้าส่งออกที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เติบโตดี อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วง Q4/2568 และปี 2569 เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ มากขึ้น สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อส่งออกที่ปรับลดลง รวมถึงการจ้างงานที่เริ่มชะลอลงมาก มุมมองนี้สอดคล้องกับหลายองค์กรระหว่างประเทศ เช่น OECD และ IMF ที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ดีขึ้นเล็กน้อยกว่าประมาณการเดิม แต่ยังเป็นภาพชะลอตัวลงเทียบกับปี 2567 และยังมองว่าปี 2569 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำกว่าปี 2568 อีกด้วย

ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกสูงขึ้น สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีจีนอีก 100% เริ่ม 1 พ.ย. หลังจีนควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่มเติมและเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเรือสัญชาติสหรัฐฯ นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเผชิญปัญหา Government Shutdown ผลจากความขัดแย้งทางการเมือง แม้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยในอดีตและไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินมากนัก แต่ครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ไม่จ่ายเงินเดือนย้อนหลังหรือปลดพนักงานออก และเสี่ยงยืดเยื้อ ด้านญี่ปุ่นเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังพรรค Komeito ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ส่งผลให้พรรค LDP อาจหลุดจากการเป็นรัฐบาลในรอบ 13 ปี

ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ยกเว้นญี่ปุ่น) เพื่อบรรเทาแรงกดดันเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 50 bps (รวมเป็น 75 bps) ในปีนี้ และอีก 50 bps ในปี 2569 จากตลาดแรงงานที่แย่ลง แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่กลับเข้ากรอบเป้าหมายและเสี่ยงเร่งตัวเพิ่มเติมจากผลกำแพงภาษี ทั้งนี้ SCB EIC ยังคงประเมินว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค. แม้การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจอาจล่าช้าจากการปิดทำการของหลายหน่วยงานภาครัฐ เนื่องจากยังมีข้อมูลจากภาคเอกชนบางส่วนที่ใช้ทดแทนได้ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ไปที่ 1.75% สิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ยรอบนี้ หลังกำแพงภาษีสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยอีก 10 bps (รวม 20 bps) ในปี 2568 และอีก 20 bps ในปี 2569 จากเครื่องชี้เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวเป็นวงกว้าง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี และจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในปี 2569 หลังผลกระทบภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ปัจจัยการเมือง และการเจรจาค่าจ้างของสหภาพแรงงาน เริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569

pic-monthly-economic.jpg


Tags
Global economyเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจต่างประเทศ US economyเศรษฐกิจสหรัฐเศรษฐกิจอเมริกาเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา China economyเศรษฐกิจจีนเศรษฐกิจประเทศจีนจีนเศรษฐกิจ Japan economyเศรษฐกิจญี่ปุ่นเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นGlobalเศรษฐกิจโลก USUnited Stateสหรัฐอเมริกาอเมริกาเศรษฐกิจสหรัฐฯ Japanญี่ปุ่นเศรษฐกิจญี่ปุ่น ThailandประเทศไทยไทยเศรษฐกิจไทยThai economy 2025Thai economy 2026เศรษฐกิจไทย 2568เศรษฐกิจไทย 2569เศรษฐกิจไทย 2026เศรษฐกิจไทย 2025TradeExportImportการค้าส่งออกนำเข้าส่งออกไทยการส่งออกการส่งออกของไทยการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ InterestInterest ratePolicy interest ratePolicy rateอัตราดอกเบี้ยดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยนโยบายกนง. GDPGross Domestic Productผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศจีดีพีเศรษฐกิจไทย Exchange rateBahtค่าเงินบาทเงินบาทค่าเงินสกุลเงิน Inflationเงินเฟ้อ Labor marketLaborตลาดแรงงานแรงงาน Household debtHouseholdDebtหนี้ครัวเรือนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDPหนี้ครัวเรือน Bankingธนาคารการเงิน Bankingการเงิน ProductionProductivityCompetitivenessการผลิตกระบวนการผลิตผลิตภาพการผลิตความสามารถในการแข่งขัน Investmentลงทุนการลงทุน GovernmentFiscalGovernment policyการลงทุนภาครัฐมาตรการภาครัฐนโยบายภาครัฐ
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ