จับตาทิศทางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปี 2026 เจอศึกหนัก! เตรียมรับมือ 3 ความเสี่ยง : ภาษีสหรัฐฯ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันที่สูงขึ้น
มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว -10.8%YOY ตามทิศทางเศรษฐกิจโลก การแข่งขันที่สูงขึ้น และมาตรการภาษีสหรัฐฯ
แนวโน้มการส่งออกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2026
มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว -10.8%YOY ตามทิศทางเศรษฐกิจโลก การแข่งขันที่สูงขึ้นและผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี 2025 ที่คาดว่าจะขยายตัว จากอานิสงส์ระยะสั้นของการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ
แม้ว่าในปี 2025 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง จากอานิสงส์การเร่งนำเข้าและวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าคอมพิวเตอร์และ HDD ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI และธุรกิจ Data center ที่ขยายตัว โดยคาดว่าจะเติบโตสูงถึงราว 33%YoY แต่ในปี 2026 คาดว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในภาพรวมมีแนวโน้มกลับมาหดตัว -10.8%YOY แม้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026 การส่งออกในกลุ่มสินค้า Hi-Tech เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ยังคงได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นที่สิ้นสุดลงช้ากว่าที่คาดจากอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับ AI ที่ดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การส่งออกในภาพรวมยังคงหดตัว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงตามอุปสงค์โลกที่แผ่วลง และจะเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนมาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2026 ยิ่งไปกว่านั้น แนวโน้มการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากขึ้นจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีเจาะจงเฉพาะสินค้า (Specific tariff) ในกลุ่มสินค้าไฮเทค เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร และคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคบางส่วนในระยะข้างหน้า
แนวโน้มในระยะกลางของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย
ในระยะกลาง (2027-2029) คาดว่ามูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากความเสี่ยงรอบด้านทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไทยไปยังตลาดโลกและตลาดสหรัฐฯ แม้ว่าความต้องการในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดโลก จะยังมีแนวโน้มขยายตัวจากความต้องการของกลุ่มสินค้าขั้นปลาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า กลุ่ม Data storage รวมถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่อาจมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
ประเด็นที่ต้องจับตา
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังมีประเด็นที่ต้องจับตาจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯที่อาจรุนแรงขึ้น ทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ตลอดจนโอกาสทางธุรกิจใหม่ในยุค AI
1) ผลกระทบจาก Trump’s tariff ต่ออุตสาหกรรม E&E การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีเจาะจงเฉพาะสินค้า การเก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ์และการกำหนดหลักเกณฑ์ Local content ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า E&E ไปตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มที่พึ่งพาสหรัฐฯ เป็นหลัก เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
2) แนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรม E&E จำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการเติบโตของสินค้าไฮเทคมากขึ้น
3) โอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรม E&E เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น เช่น เทรนด์เช่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า แนวโน้มเทคโนโลยี AI ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการ E&E ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานขยายตัว
SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ดังนี้
- จัดทำแผนประเมินความเสี่ยง/ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีและสินค้าสวมสิทธิ์ รวมถึงการทบทวนต้นทุนการผลิต และมองหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนและเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น
- เปิดตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ โดยกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ เช่น อาเซียน, ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา เป็นต้น
- การพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวมากขึ้น ตั้งแต่การจัดหาวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีอันตราย ไปจนถึงการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
- การส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงานที่มีทักษะสูงและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น เช่น วิศวกรผู้ชำนาญ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เป็นต้น
- การส่งเสริมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการผลิตสินค้าต้นน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น