กลยุทธ์จีนตั้งรับสงครามการค้า ความได้เปรียบจากความพร้อม
รัฐบาลจีนคาดหวังว่ากลยุทธ์เตรียมการทั้งระยะสั้นและยาวไว้ในสงครามการค้ารอบนี้เพียงพอที่จะรักษาเสถียรภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ และลดทอนผลลบต่อประเทศได้
การประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์กับนานาประเทศนับว่าเป็นประเด็นร้อนของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 โดยเฉพาะวิธีการตอบโต้ของเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน สำหรับสงครามการค้ารอบทรัมป์ 2.0 ในช่วงเดือนเม.ย.-ต้น พ.ค. นี้ สหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้จีนสูงสุด 145% ขณะที่จีนตอบโต้สหรัฐฯ กลับด้วยอัตราภาษีสูงสุด 125% แม้ระดับการตอบโต้ของทั้งสองฝ่ายจะรุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ แต่อาจไม่ได้เหนือความคาดหมายของจีน ซึ่งมองว่าทรัมป์อาจอยากกลับมาเปลี่ยนกติกาการค้าของโลกเพื่อประโยชน์สูงสุดของสหรัฐฯ จึงได้เตรียมความพร้อมในการรับมือและสร้างเสถียรภาพในประเทศไว้ เพื่อช่วยไม่ให้จีนเจ็บตัวมากนักในสงครามการค้ารอบใหม่
สหรัฐฯ-จีน ตกลงกันได้ในการเจรจารอบแรก แต่ใครเป็นฝ่ายชนะ ?
เมื่อวันที่ 10-11 พ.ค. ที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการลดภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน (มีผล 14 พ.ค. – 12 ส.ค.) โดยสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเหลือ 30% และลดอัตราภาษีสินค้าจีนขนาดเล็ก (De minimis) มูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 120% เหลือ 54% ขณะที่จีนจะเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือเพียง 10% รวมถึงข้อตกลงผ่อนปรนมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของทั้งสองฝ่าย อาทิ จีนยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกแร่ธาตุหายาก ยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินในประเทศรับมอบเครื่องบิน Boeing จากสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งเพิ่มรายชื่อ 17 บริษัทสหรัฐฯ ลงในบัญชีหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ (Unreliable Entities List) สถานการณ์ที่ประเทศสองมหาอำนาจของโลกหันมาคุยกันได้เช่นนี้เป็นสัญญาณที่ดีว่า สงครามการค้าโลกอาจลดความรุนแรงลงบ้าง อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกยังมีอยู่มาก และที่สำคัญความเชื่อมั่นของนานาประเทศต่อระเบียบการค้าโลกแบบเดิมได้ลดลงไปแล้ว
หลังการเจรจารอบแรกสิ้นสุดลง แม้สหรัฐฯ มองว่าเป็นชัยชนะของตน แต่หลายฝ่ายมองว่าจีนเป็นฝ่ายชนะในการเจรจาครั้งนี้ อย่างน้อยในสายตาของคนจีนเอง โดยทางการจีน กลุ่ม Influencers และสื่อของรัฐต่างประโคมข่าวความสำเร็จของการเจรจา ขณะเดียวกัน โซเชียลมีเดียใหญ่ เช่น Weibo ได้ใช้สัญลักษณ์ใช้แฮชแท็กเฉพาะ #USChinaSuspending24%TariffsWithin90Days โดยมีผู้เข้าชมเนื้อหามากกว่า 420 ล้านครั้ง ชาวจีนมองว่าครั้งนี้เป็นชัยชนะของรัฐบาลที่มีศิลปะการเจรจาสูงโน้มน้าวให้สหรัฐฯ ปรับลดภาษีตอบโต้ลงไปเหลืออัตราขั้นต่ำ 10% เท่ากับที่ประเทศคู่ค้าอื่นถูกเก็บ เหตุการณ์นี้ยังช่วยปลุกกระแสรักชาติของชาวจีนให้ร่วมกันสนับสนุนรัฐบาลและภาคธุรกิจจีนช่วยลดผลลบต่อเศรษฐกิจ
จีนใช้กลยุทธ์ พูดน้อย-เตรียมมาก-พร้อมลากยาว
พูดน้อย- ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2024 ทางการจีนไม่ได้แสดงท่าทียินดีต่อการกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งของทรัมป์มากนัก โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งตัวแทนไปร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์แทนการไปร่วมงานด้วยตนเอง และยังปฏิเสธแผนการมาเยือนจีนของทรัมป์ในวาระครบ 100 วันแรกของทรัมป์ ที่สำคัญในวัน Liberation day ที่ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ 34% ต่อสินค้าจีน ผู้ปกครองประเทศอย่าง Politburo Standing Committee กลับให้ความสำคัญกับกิจกรรมปลูกป่าเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศ การกระทำนี้ถูกตีความว่า จีนต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้โลกเห็นว่า จีนไม่ได้ตื่นตระหนกกับท่าทีการใช้อำนาจทางการค้าของสหรัฐฯ แต่พยายามแสดงความมั่นคงและไม่ทำให้ชาวจีนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจีนได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในอัตรา 34% เท่ากัน และขึ้นอัตราภาษีโต้ตอบสหรัฐฯ อีกหลายรอบ รวมถึงประกาศมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มเติม เช่น การเพิ่มชื่อบริษัทสหรัฐฯ ลงในบัญชี Unreliable entities ส่งผลต่อการทำธุรกิจของสหรัฐฯ ในจีน และการสอบสวน Google ในข้อหาละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีนในกลุ่มธุรกิจโฆษณา
ในช่วงเดือน เม.ย. ที่การตอบโต้สหรัฐฯ-จีนรุนแรง แต่รัฐบาลจีนไม่ได้ออกมาแถลงต่อสื่อมากนัก มีเพียงการสื่อสารว่าอัตราภาษีนำเข้า 125% คืออัตราสูงสุดที่จีนจะเรียกเก็บจากสหรัฐฯ และที่สำคัญคือจีนไม่ได้แสดงท่าทีต้องการขอเจรจากับสหรัฐฯ ในช่วงแรก เหมือนตอนเร่งทำข้อตกลง Phase one ในปี 2020 กับสหรัฐฯ ที่ส่งผู้แทนระดับสูงไปเจรจาหลายครั้งและดำเนินการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ แม้ยังไม่มีข้อตกลงทางการค้าเพื่อแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาเกินดุลการค้า แต่ในปี 2025 นี้มีเพียงเสนอเงื่อนไขว่าหากสหรัฐฯ ต้องการเจรจาควรเคารพจุดยืนของจีนในประเด็นไต้หวันและตั้งผู้แทนเจรจาอย่างเป็นทางการ สำหรับการยอมเปิดฉากเจรจากับสหรัฐฯ รอบแรกที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 10-11 พ.ค. จีนก็เพิ่งแสดงความชัดเจนก่อนวันเจรจาเพียงไม่กี่วัน สะท้อนว่ารัฐบาลจีนเลือกใช้กลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่าการพูดออกสื่อ
เตรียมมาก- จีนดูไม่กังวลกับท่าทีจะเปลี่ยนกติกาโลกในการกลับมาของทรัมป์ รัฐบาลจีนยังคงตั้งเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 5% และแสดงความพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากจำเป็น ความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนเช่นนี้สะท้อนว่า จีนได้คิดอย่างรอบคอบและเตรียมกลยุทธ์รองรับผลกระทบมาหลายปี และพร้อมพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ เช่น
1) กระจายตลาดส่งออกไปยังอาเซียนและลาตินอเมริกามากขึ้น สัดส่วนการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 20.4% ในปี 2001 เหลือ 14.6% ในปี 2024 รวมถึงลดการส่งออกไปยังประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น สำหรับตลาดอาเซียนเพิ่มสัดส่วนกว่าเท่าตัวจาก 7% เป็น 16.4% และตลาดลาตินอเมริกาเพิ่มจาก 3.1% เป็น 7.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน ช่วยให้จีนมีตลาดรองรับหากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หยุดชะงัก
2) เร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองภายใต้กลยุทธ์ Dual Circulation ภาครัฐและเอกชนตั้งเป้าลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้าน AI, Semiconductor, Quantum computing และ Biotech สนับสนุนการใช้ Software สัญชาติจีนแทน Microsoft หรือ Oracle เพื่อไม่ให้การพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกกลายเป็นจุดอ่อนเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ
3) ธนาคารกลางจีน (PBOC) อนุญาตให้เงินหยวนอ่อนค่ามากขึ้นเทียบกับประเทศคู่ค้า ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกอีกทางหนึ่ง ซึ่งโดยปกติ PBOC มักจะไม่ปล่อยให้อัตราอ้างอิงค่าเงินหยวนอ่อนเกิน 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงิน แต่หากดูข้อมูล 5 เดือนแรกของปีนี้ PBOC ได้ปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าสูงสุดถึง 7.35 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือน เม.ย. ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินหยวน (NEER) อ่อนค่าลง 2.8% นับตั้งแต่ต้นปี 2025 (ข้อมูล ณ 22 พ.ค.) และหากดูดัชนีค่าเงินหยวนที่แท้จริง (REER) ยิ่งพบว่า ดัชนีค่าเงินหยวนยิ่งอ่อนค่ามากขึ้นจากปัญหาเงินฝืดของจีน
4) นโยบายการคลังขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รัฐบาลจีนเพิ่มการขาดดุลการคลังในปี 2025 สูงถึง 5.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4% ต่อ GDP เพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบจากทรัมป์ 2.0 ผ่านกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศซึ่งต่างจากท่าทีในอดีตที่ให้ความสำคัญกับการลงทุน โดยมีมาตรการสำคัญ เช่น มาตรการเก่าแลกใหม่เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าหมวดรถยนต์และของใช้ภายในบ้าน
การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ท้องถิ่นและอัดฉีดเงินทุนเข้าสู่ธนาคารรัฐ ซึ่งช่วยหนุนการบริโภคผ่านความสามารถในการปล่อยสินเชื่อและเพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่นกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้มากขึ้น
5) รัฐบาลปลูกฝังแนวคิด West is declining, China is rising ให้ชาวจีนมั่นใจระบบเศรษฐกิจภายในประเทศและใช้ประโยชน์จากตลาดจีนขนาดใหญ่ ในการรองรับสินค้าที่เคยผลิตเพื่อส่งออก ผ่านการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ E-commerce อย่าง JD.com Alibaba และการโปรโมตของภาครัฐรายจังหวัด นอกจากนี้ ยังได้ปลุกกระแส Red tourism ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเน้นให้คนจีนช่วยกันใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างภาพจำของเศรษฐกิจจีนที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในยามโลกวิกฤต
รัฐบาลจีนคาดหวังว่ากลยุทธ์เตรียมการทั้งระยะสั้นและยาวไว้ในสงครามการค้ารอบนี้เพียงพอที่จะรักษาเสถียรภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ และลดทอนผลลบต่อประเทศได้
พร้อมลากยาว- เศรษฐกิจจีนพร้อมทนเจ็บได้นานกว่าสหรัฐฯ หากสงครามการค้ายืดเยื้อไปในระยะยาว โดยจีนพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจที่ลดการพึ่งพาตะวันตก และได้ขยายอิทธิพลผ่านการลงทุนในโครงการ Belt and Road Initiative ในประเทศกำลังพัฒนา มูลค่ารวมสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2013-2024 ขณะเดียวกัน จีนได้เสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านกลุ่ม BRICS ซึ่งได้ร่วมก่อตั้งไว้ในปี 2006 ผ่านความพยายามผลักดันระบบการชำระเงินระหว่างประเทศที่ไม่พึ่งระบบ SWIFT เช่นเดิม และการผลักดันการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชำระค่าสินค้าภายในกลุ่ม เช่น หยวนและรูเบิล เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ล่าสุดในเดือน เม.ย. นี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเดินทางเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เพื่อกระชับความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน ท่ามกลางสงครามการค้ารอบใหม่ที่สหรัฐฯ มีแผนจะขึ้นภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้า หลายประเทศจำเป็นต้องหาพันธมิตรนอกสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง จีนจึงวางตัวเป็นพันธมิตรเชิงรุกกับประเทศอื่นเพื่อช่วยให้จีนมีตลาดรองรับสินค้า ฐานการลงทุนนอกประเทศ และเตรียมความพร้อมหากกระแสการแยกตัวทางเศรษฐกิจออกจากสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้น
จีนพร้อมต่อกรสหรัฐฯ อีกนาน หากสงครามการค้าไม่จบง่าย
แม้สถานการณ์โลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และไม่อาจคาดเดาได้ว่าอัตราภาษีสุดท้ายที่สหรัฐฯ จะจัดเก็บแต่ละประเทศคู่ค้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ จีนมีความพร้อมในการต่อรองกับสหรัฐฯ มากกว่าสงครามการค้ารอบแรก เครื่องมือที่จีนอาจใช้ตอบโต้สหรัฐฯ ยังมีในมืออีกมาก เช่น ตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่จีนถือครองมูลค่ารวม 7.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ความสามารถในการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายาก (Rare earth) ที่จะกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ การจำกัดการเข้าถึงตลาดจีนจากบริษัทสหรัฐฯ เช่น Facebook หรือ Google การชะลอนำเข้าภาพยนตร์ฮอลลีวูด รวมถึงความสามารถในการออกมาตรการการคลังเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เครื่องมือเหล่านี้ของจีนมากพอและแข็งแกร่งพอสำหรับการต่อรองสหรัฐฯ ได้นาน สุดท้ายอาจเป็นสหรัฐฯ เองที่จะทนแรงกดดันไม่ไหวจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เคยพึ่งพาสินค้าจีนในการผลิตและบริโภคสูง จนอาจทำเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นตามมา และชาวอเมริกันอาจต้องเผชิญภาวะขาดแคลนสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันจากการชะลอการส่งออกของจีน และสูญเสียความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
โดยสรุป จีนเข้าสมรภูมิสงครามการค้ารอบใหม่นี้ด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบ เน้นจุดแข็งในการวางแผนระยะยาวลดการพึ่งพาสหรัฐฯ การควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการขยายพันธมิตร แม้ว่าข้อตกลงลดอัตราภาษีตอบโต้ชั่วคราวจะดูเหมือนจีนเสียเปรียบ ยอมให้สหรัฐฯ เก็บอัตราภาษีสูงกว่า แต่จีนมีกลยุทธ์สร้างความพร้อมรองรับการแยกตัวจากสหรัฐฯ ไว้แล้ว ขณะที่สหรัฐฯ อาจยังพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานการผลิตและตลาดผู้บริโภคอยู่มาก ไม่ได้มีความพร้อมจะแยกห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนทันที ผลลัพธ์สุดท้ายของการเจรจาใครเป็นผู้ชนะอาจไม่ได้วัดจากอัตราภาษีเท่านั้น แต่ขึ้นกับว่าใครเตรียมความพร้อมมาลงสนามรบภายใต้กติกาการค้าโลกใหม่ได้ยั่งยืนกว่าในระยะยาว
________
เผยแพร่ใน Thairath money วันที่ 3 มิถุนายน 2025