Trump อยากปลดประธานเฟด ทำได้หรือไม่ แล้วจะเกิดผลอย่างไร?
ทรัมป์มีโอกาสน้อยที่จะปลดพาวเวลล์ได้ และหากทำสำเร็จ ก็อาจไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีไม่พอใจการดำเนินนโยบายการเงินของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าเฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงช้าและน้อยเกินไป
โดยเฉพาะล่าสุดเมื่อเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ไว้ที่ช่วง 4.25% - 4.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 - 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โจมตีผ่านการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนและผ่าน Truth Social อย่างชัดเจนว่า ท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของคุณพาวเวลล์นั้นผ่อนคลายลงช้าเกินไปและมีความผิดพลาด พร้อมกับแสดงท่าทีว่า อยากหาทางพิจารณาปลดคุณพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระในเดือน พ.ค. 2569
การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนถึงแรงกดดันทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นมากต่อเฟด แต่ยังสร้างความวิตกกังวลในตลาดการเงินสหรัฐฯ เป็นวงกว้างเกี่ยวกับเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม ถึงแม้ว่าล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์จะให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า ไม่มีความคิดที่จะปลดคุณพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งในวันที่ 22 เม.ย. ก็ตาม แต่ความไม่แน่นอนในเรื่องนี้ยังคงมีอยู่สูง โดยการให้ข้อมูลนี้อาจเป็นเพียงความพยายามควบคุมความผันผวนในตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นจากการโจมตีคุณพาวเวลล์และการตั้งกำแพงภาษีนำเข้า
ประธานาธิบดีทรัมป์จะสามารถปลดคุณพาวเวลล์ได้หรือไม่?
ตามกฎหมายธนาคารกลางสหรัฐฯ ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจปลดประธานเฟดได้ตามอำเภอใจ เว้นแต่จะมีเหตุผลที่ชัดเจน ซึ่งหมายถึงการประพฤติมิชอบหรือการละเลยการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรง ประกอบกับมีหลักการทางกฎหมายตามคำพิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ ในคดีระหว่าง Humphrey’s Executor และรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 2478 ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถปลดเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอิสระที่มีบทบาทเชิงนิติบัญญัติหรือกึ่งตุลาการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรได้ ดังนั้น ความไม่พอใจที่เฟดไม่ดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายตามความเห็นของประธานาธิบดี ไม่ถือเป็นเหตุผลชัดเจนเพียงพอที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะปลดคุณพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะยึดหลักการตีความตามคำพิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ ในคดี Humphrey’s Executor ปี 2478 นี้เข้มงวดน้อยลงในปัจจุบัน สะท้อนจากคดีระหว่าง Seila Law และสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงินสหรัฐฯ ในปี 2563 ที่ศาลฎีกามีคำตัดสินให้อำนาจประธานาธิบดีในการปลดหัวหน้าสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงินของสหรัฐฯ นอกจากคดีนี้ ศาลฎีกาสหรัฐฯ ยังอยู่ในการพิจารณารับฟังคำขอของทรัมป์ในการปลดผู้บริหารของ 2 หน่วยงานอิสระด้านแรงงาน ได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองระบบคุณธรรม และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าศาลฎีกาสหรัฐฯ พร้อมจะทบทวนหลักการที่เคยตีความตามคดี Humphrey’s Executor ปี 2478 และให้อำนาจประธานาธิบดีทรัมป์มากขึ้นในการปลดเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอิสระและแต่งตั้งบุคลากรที่มีความเห็นสอดคล้องกับตนเอง
ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักยังคงเชื่อว่าศาลฎีกาสหรัฐฯ จะยังคงให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษกับคุณพาวเวลล์ เนื่องจากตำแหน่งประธานเฟดมีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก ด้านคุณพาวเวลล์ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า เขาจะไม่ลาออกก่อนหมดวาระ และเน้นย้ำว่าธนาคารกลางจะต้องเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมือง เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทำหน้าที่ควบคุมเงินเฟ้อและส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้อย่างเหมาะสม
จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณพาวเวลล์โดนปลด ?
คุณพาวเวลล์เป็นเพียง 1 ใน 12 เสียงของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของเฟด ดังนั้น การปลดคุณพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งอาจไม่ได้ช่วยทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดเปลี่ยนไปได้ทันที เพราะกรรมการฯ ท่านอื่นยังคงมีอิสระในการตัดสินนโยบายการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์แต่ละขณะ
สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินในระยะสั้นนั้นมีแนวโน้มเป็นลบ และทำให้ความผันผวนในตลาดการเงินมีอยู่สูง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดอาจปรับลดลงหากนักลงทุนประเมินว่าเฟดจะมีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายได้เร็วและมากขึ้นอีกในอนาคต แต่ในทางกลับกัน การจะปลดคุณพาวเวลล์ออกโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ อาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินท่านอื่น ๆ ยังคงทำตามหน้าที่รักษาความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของเฟดต่ออยู่ดี รวมถึงการปลดคุณพาวเวลล์อาจทำให้ความน่าเชื่อถือในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและระบบการเงินสหรัฐฯ ลดลงจนเกิดแรงเทขายสินทรัพย์ในตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้ในระยะสั้น และกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ให้เพิ่มสูงขึ้น
ความน่าเชื่อถือของเฟดอาจสั่นคลอนอย่างมาก
ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือและประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง และเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและราคาของประเทศ หากประธานาธิบดีทรัมป์ปลดประธานเฟด โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ไม่เพียงแต่จะเป็นการบั่นทอนความเป็นอิสระของเฟดเท่านั้น แต่การที่ปัจจัยเชิงสถาบันของสหรัฐฯ สั่นคลอนจะมีผลบั่นทอนความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และความน่าเชื่อถือของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอีกทางด้วย อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าเพิ่มเติม อัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเครื่องมือควบคุมเงินเฟ้อมีประสิทธิภาพน้อยลง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ต้นทุนทางการเงินในระยะยาวในตลาดการเงินสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ลงทุนจะต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้น กดดันการระดมทุนในตลาดการเงินสหรัฐฯ ของทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงอาจเป็นการจุดชนวนให้สหรัฐฯ เผชิญวิกฤติการเงินหรือวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่เร็วขึ้น
การปลดคุณพาวเวลล์จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก
เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็เป็นสกุลเงินที่มีความสำคัญที่สุดในโลก หากเกิดวิกฤติทางการเงินหรือวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ก็ย่อมจะส่งผลต่อเนื่องมายังตลาดการเงินโลกและเศรษฐกิจโลกผ่านหลายช่องทาง เช่น ตลาดการเงินทั่วโลกจะยิ่งผันผวนและตึงตัวมากขึ้น จากการปรับน้ำหนักการถือตราสารของนักลงทุนโดยเฉพาะสถานะ Risk free assets ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจถูกกระทบไปหาทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า รวมถึงกระแสเงินลงทุนไหลออกจากสินทรัพย์ประเทศกำลังพัฒนาที่มีความเสี่ยงสูง อุปสงค์ความต้องการสินค้าและบริการระหว่างประเทศที่จะลดลง ความเชื่อมั่นในการลงทุนทั่วโลกที่จะปรับลดลง ซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลกเปราะบางยิ่งขึ้น
บทสรุป
โดยสรุปแล้ว โอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะปลดคุณพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งประธานเฟดได้สำเร็จค่อนข้างน้อย หรือหากทำได้จริง ก็อาจจะไม่มีผลทำให้ทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐฯ ผ่อนคลายได้เร็วตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการ แต่กลับจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและระบบการเงินของสหรัฐฯ เอง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากปัจจัยเชิงสถาบันของสหรัฐฯ จะมีความน่าเชื่อถือน้อยลง ความเชื่อมั่นในความเป็นอิสระของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่สั่นคลอนอาจกระทบต่อประสิทธิผลการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของธนาคารกลาง และที่สำคัญเหตุการณ์นี้อาจเป็นปัจจัยใหม่ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยิ่งมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซ้ำเติมปัญหาทางเศรษฐกิจจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
________
เผยแพร่ใน Thairath money วันที่ 5 พฤษภาคม 2025