SHARE
SCB EIC ARTICLE
17 เมษายน 2013

Unemployment rate

อัตราการว่างงาน (Unemployment rate)

ผู้เขียน:  โสภณ วิจิตรเมธาวณิชย์

 145832270.jpg

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯชี้ว่า ตลาดงานในสหรัฐฯกระเตื้องขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ โดยอัตราการว่างงานลดลงและการจ้างงานขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้อัตราการว่างงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 7.7 จาก ร้อยละ 7.9 ในเดือนมกราคม ซึ่งตัวเลขดังกล่าวดีกว่าที่คาดไว้

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ ออนไลน์ (9 มีนาคม 2556)

 

อัตราการว่างงานคืออะไร

ก่อนที่จะเข้าใจว่าอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) คืออะไรนั้น จะต้องเข้าใจถึงความหมายของคำว่า "กำลังแรงงาน" (Labor force) และ "การว่างงาน" (Unemployment) เสียก่อน โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization: ILO) ซึ่งเป็นองค์การชำนาญพิเศษ (Specialized Agency) ของสหประชาชาติ ที่ดูแลรับผิดชอบประเด็นเกี่ยวกับแรงงานของประเทศสมาชิกได้ให้นิยามของกำลังแรงงานไว้ว่า กำลังแรงงาน คือ บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปที่สามารถสร้างผลผลิตทั้งในรูปแบบสินค้าและบริการให้กับประเทศได้ โดยไม่คำนึงว่า ณ ช่วงเวลาสำรวจบุคคลเหล่านั้นจะมีงานทำหรือไม่ ในขณะที่การว่างงานนั้น หมายถึง บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปที่มีความต้องการทำงาน และมีความสามารถในการทำงานได้ แต่ไม่มีงานทำ ทั้งนี้ตามนิยามใหม่ของ ILO บุคคลที่ไม่มีความสามารถในการทำงาน และบุคคลที่มีความสามารถในการทำงานแต่ไม่ได้มีความต้องการทำงาน ณ ช่วงเวลาสำรวจนั้น จะไม่ถูกจัดให้อยู่ในกำลังแรงงานและบุคคลว่างงาน ดังนั้น อัตราการว่างงานก็คือ สัดส่วนของบุคคลว่างงานกับกำลังแรงงานทั้งหมดหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานแสดงให้เห็นถึงการว่างงานโดยไม่สมัครใจ

 

ทำไมต้องสนใจตัวเลขอัตราการว่างงาน

เนื่องจากอัตราการว่างงานเป็นเครื่องชี้วัด (Indicator) สภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ที่สำคัญตัวหนึ่ง กล่าวคือ แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าประเทศประสบปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีการบริโภค     การลงทุน และการส่งออกที่ลดลง ย่อมจะสะท้อนผ่านทางตัวเลขการว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากกำลังแรงงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็ย่อมหมายถึงอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้มีการบริโภคที่ลดลงไปอีก ดังนั้นการที่อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นย่อมแสดงให้เห็นว่า ประเทศกำลังประสบปัญหาในการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

แล้วอัตราการว่างงานสูงระดับไหนถึงจะเป็นปัญหา

คำตอบก็คือ บอกได้ยากว่าอัตราการว่างงานสูงระดับไหนถึงจะเป็นปัญหา เนื่องจาก โครงสร้างและจำนวนประชากรของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ซึ่งนอกจากประชากรแล้วโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าอัตราการว่างงานที่เป็นปัญหาในประเทศหนึ่งจะเป็นระดับที่ก่อให้เกิดปัญหาในอีกประเทศหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่น ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พึ่งพิงแรงงานในการผลิตสินค้าและบริการ (Labor-intensive) แต่ในทางกลับกันประเทศในกลุ่มที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Advanced economies) ล้วนเป็นประเทศที่พึ่งพิงเครื่องจักร และเทคโนโลยีมากกว่าแรงงานในการผลิตสินค้าและบริการ (Capital-intensive) ดังนั้นอัตราการว่างงานที่ทำให้เกิดปัญหาในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อาจไม่เป็นปัญหาในกลุ่มที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่สามารถดูได้ว่า อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่สามารถก่อให้เกิดปัญหาให้แก่ทุกประเทศ ก็คือ การที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รุนแรง และคงอยู่ ณ ระดับนั้นเป็นเวลานาน  ดังเช่น อัตราการว่างงานของหลายประเทศในยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้นจากวิกฤติหนี้สาธารณะ เป็นต้น ซึ่งการที่ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาอัตราการว่างงานในระดับสูงเป็นระยะเวลานานจะทำให้แรงงานกลุ่มที่ว่างงานเป็นเวลานานถูกบั่นทอนความสามารถในการพัฒนา และผลต่อเนื่องที่ตามมาก็คือ แรงงานเหล่านี้จะกลับไปหางานทำได้ยากหรือหากได้งาน    ทำประสิทธิภาพในการทำงานก็มีน้อยเนื่องจากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง1 ซึ่งอาจทำให้ประเทศเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างล่าช้าในระยะยาวได้

 

ตัวเลขการว่างงานที่ 7.7 % ของสหรัฐฯ นั้นดีมากขนาดไหน

อัตราการว่างงานของสหรัฐที่ 7.7% นั้นถือว่าเป็นอัตราการว่างงานที่ดีที่สุดในรอบราว 4 ปี โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 230,000 ตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานดังกล่าวมีแรงสนับสนุนหลักจากภาคการก่อสร้าง ภาคสาธารณสุข และภาคการค้าปลีก ซึ่งตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในภาคการค้าปลีกนั้นอาจเป็นสัญญาณที่ดีว่าการปรับขึ้นภาษีประกันสังคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา Fiscal Cliff นั้นไม่ได้กระทบการใช้จ่ายของครัวเรือนมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2013 อาจจะดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดีอัตราการว่างงานที่ลดต่ำลงมาส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีแรงงาน 130,000 คนที่ออกนอกภาคแรงงาน  โดย SCBEIC ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) น่าที่จะอยากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่ชัดเจนกว่านี้ก่อนที่จะยุติการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing)

 

อัตราการว่างงานของประเทศต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับอัตราการว่างงานในประเทศต่างๆ นั้นพบว่า ในกลุ่มประเทศยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ PIIGS (โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน) กำลังประสบกับปัญหาการว่างงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาในปี 2008 ยิ่งไปกว่านั้นวิกฤติหนี้สาธารณะในปี 2010 ยิ่งทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังไม่เห็นแนวโน้มที่จะลดลง (รูปที่1) ทั้งนี้การว่างงานที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประเทศ PIIGS ทำให้อัตราการว่างงานโดยรวมของกลุ่มยูโรโซนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย สำหรับอัตราการว่างงานของประเทศในกลุ่มเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงไทย นั้นได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรปค่อนข้างน้อย ในทางกลับกันประเทศในกลุ่มนี้กำลังจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานจากโครงสร้างประชากรที่จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในอนาคต2

 

นโยบายการคลังและการเงินสามารถช่วยลดอัตราการว่างงานได้หรือไม่

นโยบายการคลัง และการเงินสามารถช่วยลดอัตราการว่างงานได้ โดยนโยบายการคลังจะช่วยลดการว่างงานผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐทั้งการบริโภคและการลงทุน ซึ่งการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งของอุปสงค์ในประเทศ (Domestic Demand) ดังนั้นถ้าการใช้จ่ายของภาครัฐเพิ่มขึ้นย่อมหมายความว่าประเทศมีความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ประกอบการจะผลิตสินค้าและบริการเพื่อมาตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของภาครัฐ ทำให้จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานก็จะลดลง สำหรับนโยบายการเงินนั้น แต่เดิมผู้กำหนดนโยบายการเงิน (ธนาคารกลาง) สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับในช่วง 4-5 ปีหลังจากเกิดวิกฤติซับไพรม์ได้มีการใช้นโยบายการเงินที่ไม่ได้ใช้ในช่วงเวลาปกติ (Unconventional  Monetary Policy) มากขึ้น เช่น มาตรการอัดฉีดปริมาณเงิน (QE) ของ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ เป็นต้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ผูกการใช้ QE3 ไว้กับอัตราการว่างงาน ซึ่งนโยบายการเงินดังกล่าว จะสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านระบบการเงินในช่องทางต่าง ๆ 5 ช่องทาง ได้แก่ ราคาสินทรัพย์ ความมั่งคั่ง สินเชื่อ การคาดการณ์ และอัตราแลกเปลี่ยน (รูปที่ 2)

 

รูปที่ 1 อัตราการว่างงานของประเทศในกลุ่ม PIIGS เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 5121_20130417104447.png

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Eurostat และ CEIC

 

รูปที่ 2 การเพิ่มปริมาณเงินสามารถส่งผลต่ออัตราการว่างงานผ่านช่องทางได้ทั้งสิ้น 5 ช่องทาง

 5122_20130417104507.png

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC

 


 

 1 จากการบรรยายของ Ben Bernanke ต่อ National Association for Business Economics ในเดือนมีนาคม 2012 ซึ่งเป็นผลจากงานวิจัย Ranking, Unemployment and Wages ของ Olivier Blanchard and Peter Diamond ที่ตีพิมพ์ใน Review of Economic Studies ในปี 1994

 2 Bank of America ได้ทำการประเมินกำลังแรงงานของ ไทย เกาหลี และญี่ปุ่น ว่าจะมีอัตราการเติบโตในปี 2020 เทียบกับ 2010 ที่ 7.6% 0.4% และ -3.9% ตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์ 31.3% หรือ สิงคโปร์ 24.4% เป็นต้น

 

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ