SHARE
SCB EIC BRIEF
16 พฤศจิกายน 2023

ปลดล็อกข้อจำกัดการเงิน เร่งลงทุนลดโลกร้อน

ปัญหาใหญ่ของโลกกำลังรออยู่ข้างหน้า ผู้กำกับดูแลและธุรกิจในภาคการเงินไทยเริ่มมีแนวทางให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน

นับวันปัญหาวิกฤตโลกรวนทวีความรุนแรง สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศต่าง ๆ ต้องหาทางบรรเทาผลกระทบที่จะต้องเจอบ่อยครั้งขึ้น เพื่อมุ่งให้โลกปรับตัวสู่สภาวะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emission) หรือ สภาวะที่โลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสมดุลกับก๊าซเรือนกระจกที่จะถูกดูดซับออกจากชั้นบรรยากาศภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งจะช่วยไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในระยะยาวสูงเกิน 2°C จากระดับก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมตามข้อตกลงปารีส โดยจะพยายามอย่างมากที่จะจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5°C ซึ่งในปัจจุบันโลกร้อนขึ้นมาราว 1.2°C แล้ว

การจะมุ่งสู่เป้าหมายท้าทายของโลกข้อนี้ แต่ละประเทศต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นมากจากภาครัฐและเอกชน เพื่อลงทุนรับมือและเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านในหลายด้าน 

ทั่วโลกนับถอยหลัง เร่งลงทุนลดสภาวะโลกรวน  

Global financial stability report ของ IMF (Oct 2023) ระบุว่า ทั่วโลกต้องยกระดับการลงทุนขนานใหญ่ในแต่ละปีเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ (Climate migration investment) เป็นมูลค่าสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2030 เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net zero emission ภายในปี ค.ศ. 2050 นั่นคือจะต้องลงทุนเพิ่มอีกหลายเท่าจากระดับปัจจุบัน 3% เป็น 12% ของมูลค่าการลงทุนรวมในโลก

การลงทุนรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำได้หลายรูปแบบ เช่น การลงทุนเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่ Low carbon emission ด้วยการผลิตพลังงานสะอาดทดแทนพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะและเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาด การก่อสร้างอาคารลดการปล่อยคาร์บอนและประหยัดพลังงาน  รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศพร้อมรับมือผลกระทบทางกายภาพรุนแรงจากสภาวะโลกรวนได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและสังคมที่จะเกิดขึ้นได้

ในปัจจุบันกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (EMDEs) ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในโลกกว่า 2 ใน 3 โดย IMF ประเมินว่า EMDEs ต้องเร่งลงทุนด้าน Climate migration มากขึ้นถึงปีละ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2030 (หรือประมาณ 40% ของการลงทุนรวมด้าน Climate migration ของโลก) อย่างไรก็ดี ภาครัฐของประเทศส่วนใหญ่มีแนวโน้มกู้และลงทุนเพิ่มได้อีกไม่มาก บนข้อจำกัดทางการคลังที่สูงขึ้นหลังวิกฤตโควิด ดังนั้น บทบาทการลงทุนด้าน Climate migration ขนานใหญ่ที่ต้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมภายในปี ค.ศ. 2030 จะมาจากเม็ดเงินลงทุนของภาคเอกชนเป็นหลักมากถึง 80 – 90% ของมูลค่าเงินลงทุนรวมด้านนี้ของ  EMDEs จะเห็นได้ว่า การระดมเงินทุนจากภาคเอกชนนับเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เป้าหมาย Net zero emission เกิดขึ้นได้จริงภายในปี ค.ศ. 2050

IMF พบว่า EMDEs ยังประสบปัญหาในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนภาคเอกชน แม้ในปัจจุบันกระแสเม็ดเงินลงทุนแก้ปัญหาสภาพอากาศรวนในโลกจะตื่นตัวขึ้นมาก แต่กระแสการลงทุนด้านนี้ไป EMDEs ยังเกิดขึ้นไม่เยอะ ไม่ค่อยเห็นการกระจายการลงทุนไปถือสินทรัพย์ที่ช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่มประเทศเหล่านี้มากนัก ส่วนหนึ่งอาจเพราะตลาดการเงินในประเทศยังพัฒนาไม่มากเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั่วโลก นอกจากนี้ บางประเทศอาจมีปัญหาเฉพาะ เช่น อันดับความน่าลงทุนของตราสารไม่จูงใจ ความเสี่ยงทางการเมือง ความไม่แน่นอนของกฎเกณฑ์เชิงสถาบัน ความเสี่ยงในการดำเนินการ และการขาดแคลนโครงการลงทุนสีเขียวที่น่าลงทุน นอกจากนี้ EMDEs ยังขาดระบบจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และได้มาตรฐานสากล ส่งผลให้นักลงทุนที่ต้องการนำข้อมูลไปประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนด้านนี้ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทำได้ไม่ง่ายนัก

IMF ได้นำเสนอชุดนโยบายปลดล็อกข้อจำกัดทางการเงินของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เพื่อเร่งให้การลงทุนแก้ปัญหาวิกฤตสภาพอากาศเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งแต่ละประเทศจำเป็นต้องดำเนินนโยบายหลายด้านควบคู่กัน เช่น การปฏิรูปการใช้พลังงานฟอสซิลและกำหนดราคาซื้อขายคาร์บอน การส่งเสริมให้ภาคการเงินเป็นแหล่งระดมทุนเพื่อการลงทุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งเงินทุนทั้งในและนอกประเทศ การออกแบบสถาปัตยกรรมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ (เช่น การจัดเก็บและการเปิดเผยข้อมูล) การจัดทำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Taxonomies) การจัดทำคะแนนผลกระทบทางสภาพอากาศ (Climate impact score) และการวางระบบกระจายความเสี่ยงในการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน 

ประเทศไทยพร้อมแค่ไหน ? ในการแก้ปัญหาสภาวะโลกรวน  

ภูมิภาคอาเซียนและเอเชียใต้จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตสภาวะอากาศรวน โดยเฉพาะมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย อินโดนีเซียที่ได้รับการประเมินว่า หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึงระดับ 2 – 2.6°C ภายในปี ค.ศ. 2048 จะทำให้ GDP ลดลงราว 20-36% จากผลกระทบต่อผลิตภาพแรงงานและภาคเกษตร แต่ไทยยังปรับตัวรับมือความเสี่ยงด้านสภาพอากาศได้ค่อนข้างช้าอยู่ในอันดับ 39 จาก 48 ประเทศ ณ ปี 2019 (Swiss Re Institute, 2021) สำหรับการประเมินของ Climateactiontracker.org ล่าสุด ณ พ.ย. 2023 ยังพบว่า ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่เตรียมรับมือปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไม่เพียงพอเข้าขั้นวิกฤต (Critically insufficient climate actions) ตามรูป 1 

global-warming---pic-01.png

ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) เปิดเผยผลศึกษาว่า ภูมิภาคอาเซียนต้องเร่งลงทุนแก้ปัญหาโลกร้อนเพิ่มขึ้นอีกปีละ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการระดมทุนขนานใหญ่จากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ สำหรับประเทศไทย ADB มองว่าการพัฒนาระบบนิเวศการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable finance ecosystem) เป็นความเร่งด่วนหลัก เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าถึงแหล่งเงินสำหรับการลงทุนเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) ได้มากขึ้น จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องในด้านอุปทานและอุปสงค์ของตลาดการเงินไทย การออกนโยบายกำกับดูแล การออกแบบผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการตระหนักรู้ของนักลงทุนถึงความสำคัญของ ESG ในตลาดการเงินไทย

ปัญหาใหญ่ของโลกกำลังรออยู่ข้างหน้า ผู้กำกับดูแลและธุรกิจในภาคการเงินไทยเริ่มมีแนวทางให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในแผนยุทธศาสตร์ประเทศและขององค์กร ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนเพื่อให้ทิศทางและแผนปฏิบัติการสอดคล้องกันและจัดลำดับความสำคัญ จะช่วยสามารถสร้างระบบนิเวศการเงินยั่งยืน ปลดล็อกข้อจำกัดทางการเงินให้ประเทศไทยสามารถเร่งการลงทุนจากภาคเอกชนในและต่างประเทศ เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศท่ามกลางวิกฤตโลกรวนได้ในที่สุดค่ะ

** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **

 

เอกสารอ้างอิง

เจณิตตา จันทวงษา, “รัฐบาลใหม่ต้องคิดใหญ่ ยกเครื่องประเทศไทยด้วยการลงทุนสีเขียว,” The 101.World,
28 กุมภาพันธ์ 2566.

Asian Development Bank, “Thailand Times: Building of Sustainable Finance Ecosystem in Thailand,”
24 May 2023.

International Monetary Fund, “Global Stability Report: Financial and climate policies for a high-interest-rate era,” October 2023.

Swiss Re Institute, “The economics of climate change: No action not an option,” April 2021.

 
________
เผยแพร่ในคอลัมน์ “แจงสี่เบี้ย” นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2023

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ