เศรษฐกิจ EEC ปี 2022 และแนวโน้มในปี 2023
ในระยะข้างหน้า SCB EIC คาดว่าเศรษฐกิจของ EEC มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจ EEC ขยายตัวได้ดีเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
โดยขยายตัวติดต่อกัน 7 ไตรมาสหลังเผชิญการระบาดของโควิด และสามารถขยายตัวได้มากถึง 5% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2022 (เทียบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมที่ 4.5%) อีกทั้ง เศรษฐกิจของ 3 จังหวัด EEC คิดเป็นราว 13% ของเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ จัดว่าเป็นอีกภูมิภาคสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเศรษฐกิจของ EEC ได้รับแรงสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นจากปัญหาการปิดโรงงานจากการระบาดที่สิ้นสุดลง ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ (โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์) และการแออัดของภาคการขนส่งระหว่างประเทศที่เริ่มคลี่คลายลง รวมถึงอุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้อุปสงค์จากต่างประเทศจะทรงตัวเนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง นอกจากนี้ เศรษฐกิจของ EEC ในภาคการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นและการท่องเที่ยวภายในประเทศของชาวไทยที่เข้าใกล้ระดับปกติมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีภาคเกษตรของ EEC ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในด้านปริมาณ ในขณะที่ด้านราคาปรับตัวดีขึ้นบ้างตามราคาสินค้าเกษตรโลก
ในระยะข้างหน้า SCB EIC คาดว่าเศรษฐกิจของ EEC มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น (1) ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวต่อเนื่อง 3.4% ในปี 2023 จาก 3.2% ในปี 2022 (2) จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น โดย SCB EIC ประเมินว่า จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยมากถึง 28.3 ล้านคนในปี 2023 ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและรายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะเป็นฟันเฟืองสนับสนุนการบริโภคในประเทศและการลงทุนใหม่ใน EEC เช่น ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อการประชุม (MICE) ซึ่งยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีหลังวิกฤติโควิด โดยเฉพาะในส่วนที่พึ่งพานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (3) ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่จะคลี่คลายต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ส่งผลให้การผลิตสินค้ากลุ่มยานยนต์ของไทยกลับมาเป็นปกติมากขึ้น (4) ทิศทางการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ที่จะก่อให้เกิดการย้ายฐานการผลิตหาประเทศพันธมิตรที่อยู่ใกล้มาร่วมในห่วงโซ่การผลิต รวมถึงการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศใน EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางอาเซียนที่มีความพร้อมรองรับการลงทุนเทรนด์ใหม่ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยกดดันที่สำคัญของ EEC
โดย SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้เพียง 1.8% ในปี 2023 ชะลอตัวลงจาก 3% ในปี 2022 และ 5.8% ในปี 2021 จากเงินเฟ้อที่ลดลงช้า วิกฤตพลังงานยืดเยื้อ และนโยบายการเงินเข้มงวดทั่วโลก โดยบางประเทศหลักซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอย่างสหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้ภาคการผลิตของ EEC โดยเฉพาะในส่วนที่พึ่งพาตลาดนอกประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง ในขณะที่การกลับมาระบาดใหม่ของโควิดที่รุนแรงทั้งในและต่างประเทศเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากอาจทำให้ภาครัฐต้องนำมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดกลับมาใช้ใหม่และทำให้โรงงานอุตสาหกรรมใน EEC จำเป็นต้องหยุดการผลิตเพื่อควบคุมโรคหรือเกิดการขาดแคลนวัตถุดิบขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวใน EEC ก็อาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศที่เข้มงวด นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่จะต้องจับตา เช่น สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก ความเปราะบางของหนี้ครัวเรือนไทย เป็นต้น ทั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของ EEC จะขยายตัวได้เกินกว่า 4% ในปี 2023
เศรษฐกิจ EEC สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในทิศทางชะลอตัวภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก, Bloomberg และ CEIC
________________
เผยแพร่ในกรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ smart eec วันที่ 10 มกราคม 2023