ผู้เขียน: ดวงพร ทรัพย์สกุล
เขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หรือ
ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA)
![]() |
FTA เป็นความตกลงระหว่าง 2 ประเทศขึ้นไป หรือเป็นการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุด หรือ ลดภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการค้าเสรีระหว่างกันภายในกลุ่ม และปัจจุบันประเทศต่างๆ ก็ได้ขยายขอบเขตของ FTAให้ครอบคลุม |
การค้าด้านบริการ อาทิ บริการท่องเที่ยว การรักษาพยาบาล การสื่อสาร การขนส่ง ฯลฯ พร้อมกับความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การลงทุน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการอำนวยความสะดวกทางการค้าด้วย
วัตถุประสงค์ของ FTA
- FTA สะท้อนแนวคิดสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า "ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศจะเกิดขึ้นสูงสุดเมื่อประเทศต่างๆ ผลิตสินค้าที่ตนมีต้นทุนในการผลิตต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วนำสินค้าเหล่านั้นมาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน" ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ประโยชน์สูงสุดดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น หากยังมีการเก็บภาษีขาเข้าและมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ซึ่งส่งผลบิดเบือนราคาที่แท้จริงของสินค้า และทำให้การค้าขายไม่เป็นไปอย่างเสรีและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น FTA จึงมุ่งหวังที่จะทำให้เกิดการค้าเสรีระหว่างกันภายในกลุ่ม เพื่อลดต้นทุน หรืออุปสรคทางการค้าให้น้อยที่สุด และเกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ตนเองผลิตแล้วได้เปรียบสูงสุดซึ่งกันและกัน
- พร้อมกันนี้ FTA ถือเป็นเครื่องมือทางการค้าสำคัญที่ประเทศต่างๆ สามารถใช้เพื่อขยายโอกาสในการค้า สร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ พร้อมๆ กับเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาให้แก่สินค้าของตน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตใน FTA จะถูกเก็บภาษีขาเข้าในอัตราที่ต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิก FTA จึงทำให้สินค้าที่ผลิตภายในกลุ่มได้เปรียบในด้านราคากว่าสินค้าจากประเทศนอกกลุ่ม
การจัดทำ FTA ของไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดทำ FTA กับ 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บาห์เรน เปรู และ 2 กลุ่มเศรษฐกิจ ASEAN และ BIMSTEC โดยเหตุผลสำคัญเพื่อรักษาสถานภาพและศักยภาพในการส่งออกของไทยโดยการขยายโอกาสในการส่งออก และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยทั้งในตลาดสำคัญในปัจจุบัน (เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อาเซียน) ตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ (เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ BIMSTEC) และประเทศที่จะเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาค (Gateway) อื่นๆ ของโลก (เช่น บาห์เรน เปรู) นอกจากนี้ไทยยังอยู่ระหว่างการศึกษาเจรจา FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) รวมทั้งการศึกษาการเจรจาในกรอบของ ASEAN-EU, ASEAN-เกาหลี, ASEAN+3 และ ASEA+6 ซึ่งจะทยอยมีผลบังคับใช้ต่อไป
สาระในการจัดทำ FTA ของไทยฉบับสำคัญๆ และสถานะการเจรจาล่าสุด
- ไทยและสหรัฐฯ ได้ตกลงการจัดทำ FTA ในปี 2545 และได้มีการเจรจารอบแรกปี 2547 โดยเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลเบื้องต้นในเรื่องต่างๆ และมีการเจรจากันอีกหลายครั้ง แต่ขณะนี้ได้ถูกพักการเจรจาไปแล้ว
- ไทยกับญี่ปุ่น ได้ร่วมกันศึกษาหารือความเป็นไปได้ในการทำ FTA ไทย-ญี่ปุ่น มาตั้งแต่ปี 2545 เริ่มการเจรจาในปี 2547 ครอบคลุมทั้งการเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือในสาขาต่างๆ และได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ร่วมกันในปี 2550 และมีผลบังคับใช้แล้ว นอกจากนั้น ไทยยังได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ภายใต้กรอบ ASEAN-ญี่ปุ่น ด้วยเมื่อปี2551 และมีผลบังคับใช้แล้วเช่นกัน
- ไทยกับจีน ได้ลงนามกรอบความตกลง FTA แล้ว ภายใต้ในกรอบความตกลง ASEAN -จีน โดยยกเลิกภาษีระหว่างกันก่อน (Early Harvest) ในสินค้าในพิกัด 07-08 (ผักและผลไม้) ในปี 2546 และลดภาษีสินค้าในพิกัด 01-08 (ได้แก่ สัตว์มีชีวิต ประมง ธัญพืช ผักและผลไม้) ในปี 2547 ให้เหลือ 0% ในปี 2549 ส่วนสินค้าที่เหลือ รวมทั้งการค้าบริการ การลงทุน และกฎระเบียบต่างๆได้เจรจาแล้วเสร็จในปี 2547 โดยจะมีผลสำหรับสินค้าทั่วไปในปี 2553 สินค้าอ่อนไหว ปี 2555-2561 สินค้าอ่อนไหวสูงจะคงไว้ถึงปี 2558 จึงจะลดภาษีมาอยู่ที่ไม่เกิน 50%
- ไทยกับอินเดีย ได้ลงนามกรอบความตกลงเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย ในปี 2546 ซึ่งครอบคลุมการเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และการลดอุปสรรค โดยยกเลิกภาษีระหว่างกันก่อน Early Harvest 82 รายการ ตั้งแต่ปี 2547 ให้เหลือ 0% ในปี 2549 และดำเนินการเจรจาลดภาษีรายการอื่นๆ ต่อไป (สินค้าที่เหลือบริการและการลงทุน) และมีการจัดทำภายใต้กรอบความตกลง ASEAN-อินเดีย ในปี 2550 โดยมีเป้าหมายลดภาษีสินค้าส่วนใหญ่เป็น 0% ภายในปี 2554 และช้าสุดภายในปี 2558
- ไทยกับออสเตรเลีย ได้ลงนามความตกลง FTA ในปี 2547 และมีผลบังคับใช้แล้วในปี 2548 โดยออสเตรเลียลดภาษีเหลือ 0% ประมาณ 83% ของรายการสินค้า ตั้งแต่ปี 2548 ส่วนที่เหลือจะทยอยลดภาษีเหลือ 0% ภายในปี 2553 และ 2558 ส่วนไทยลดภาษีเหลือ 0% ประมาณ 49% ของรายการสินค้า ตั้งแต่ปี 2548 ส่วนที่เหลือจะทยอยลดภาษีเหลือ 0% ภายในปี 2553 สำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมบางรายการที่มีความอ่อนไหว จะทยอยลดเหลือ 0% ภายใน 10 15 และ 20 ปี โดยมีมาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguards) สำหรับสินค้าบางรายการ นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ASEAN-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ตั้งแต่ปี 2547 และได้ลงนามไปแล้วในปี 2552
- ไทยกับนิวซีแลนด์ ได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ และมีผลบังคับใช้ในปี 2548 โดยนิวซีแลนด์ทยอยลดภาษีเหลือ 0% ในรายการสินค้าที่ตกลงภายในปี 2558 ส่วนไทยทยอยลดภาษีเหลือ 0% ในรายการสินค้าที่ตกลงภายในปี 2563
- ไทยกับบาห์เรน ได้ลงนามกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีในปี 2545 ครอบคลุมการค้าสินค้า บริการ การลงทุน โดยยกเลิกภาษีระหว่างกันก่อน Early Harvest 626 รายการ และปรับลดภาษีเหลือ 0% ในปี 2548 ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้ว สำหรับสินค้าที่เหลือได้ถูกพักการเจรจาไปแล้ว
- ไทยและเปรู ได้ลงนามกรอบความตกลงการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งครอบคลุมถึงการจัดทำ FTA ในปี2546 (Early Harvest) และมีการเจรจาลงนามเสร็จแล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ สินค้าส่งออกของไทยที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีของเปรู ได้แก่ รถปิคอัพ พลาสติก ยางและผลิตภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เส้นใยสังเคราะห์ โดยจะเป็น FTA ได้ภายในปี 2558
- BIMSTEC ประเทศสมาชิก BIMSTEC ได้ ลงนามกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีในปี 2547 ครอบคลุมการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ และจะเริ่มทยอยลดภาษีในปี 2553 โดยมีเป้าหมายที่จะลดภาษีเหลือ 0% ภายในปี 2558
ผลกระทบที่ได้รับและประโยชน์ที่ควรเกิดขึ้นจาก FTA ของไทยโดยรวม
มุมมองต่อผู้บริโภค
FTA จะทำให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าลดต่ำหรือเป็น 0 ในที่สุด ซึ่งควรจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าถูกลง ถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนทางอ้อม และช่วยเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศให้มากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้านำเข้าได้เป็นจำนวนมากขึ้น และราคาที่ต่ำลง นอกจากนี้ การลดภาษีนำเข้ายังช่วยกดดันให้ราคาสินค้าชนิดเดียวกันหรือสินค้าที่สามารถใช้ทดแทนกันได้ที่ผลิตในประเทศลดราคาลงด้วย อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้เกิดการแข่งขันภายในประเทศมากขึ้นด้วย
มุมมองต่อผู้ผลิต
- FTA จะเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดให้แก่ผู้ผลิตที่เป็นผู้ส่งออก เนื่องจากภาษีนำเข้าของประเทศคู่สัญญา FTA ลดลง ผู้ผลิตส่วนหนึ่งจะสามารถผลิตและส่งออกสินค้าได้มากขึ้น เพราะประเทศเหล่านี้จะมีความต้องการสินค้าและนำเข้ามากขึ้น สินค้าบางอย่างที่ไม่เคยส่งออก เนื่องจากต่างชาติตั้งกำแพงภาษี ก็จะเริ่มส่งออกและขยายตลาดได้มากขึ้น
- ผู้ผลิตอีกกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จาก FTA คือ ผู้ผลิตกลุ่มที่มีการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องยนต์ เครื่องจักร เข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า FTA จะช่วยลดภาระภาษีนำเข้าให้ผู้ผลิตที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสินค้า ทำให้สามารถลดต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบ และเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ผลิตสามารถนำเข้าได้จากหลายแหล่งมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง สามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง ถือเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาให้แก่ผู้ผลิต
- อย่างไรก็ดี จะมีผู้ผลิตอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบในทางลบจากการเปิดเสรี คือ กลุ่มของผู้ผลิตสินค้าเพื่อขายในประเทศ ซึ่งจะต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่ราคาถูกลง และกลุ่มผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศในระดับต่ำ ทำให้ต้องมีการปรับตัวรับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพและมาตรฐานการผลิต ตลอดจนจะเกิดต้นทุนในการปรับตัว (Adjustment Cost) เนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่สาขาที่ไทยมีความพร้อม/ได้เปรียบ และในกรณีที่ไม่สามารถแข่งขันได้สินค้านี้จำเป็นต้องออกจากธุรกิจไปและหันไปผลิตสินค้าอื่นแทน