SHARE
SCB EIC BRIEF
12 มกราคม 2022

เทรนด์สนับสนุนเป้าหมาย net zero ที่ต้องจับตามองในปี 2022

การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย net zero ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำเนินงานของผู้เล่นในทุกอุตสาหกรรม ...

LINE_sharebutton[1]-(1)-(1).JPG



Screen-Shot-2565-01-12-at-10.04.35.png

 

 

การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย net zero ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำเนินงานของผู้เล่นในทุกอุตสาหกรรม โดยหลายประเทศที่ได้ตั้งเป้าหมาย net zero ก็ได้เริ่มออกนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมาย ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดจากการบรรเทาผลกระทบ (mitigation) และการปรับตัว (adaptation) กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในภาคเอกชนการประกาศเป้าหมาย net zero ของบริษัทต่างๆ จะส่งผลให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อผู้ประกอบการทั่วโลก นอกจากนี้ การเร่งการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ climate tech ก็จะมีนัยไม่เพียงต่อการบรรลุเป้าหมาย net zero เท่านั้น แต่ยังมีนัยด้านการแข่งขันของประเทศด้วย ปัจจุบันการแข่งขันด้าน climate tech เช่น เทคโนโลยีการผลิตพลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ และเทคโนโลยีไฮโดรเจน มีมิติในการแข่งขันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดราคาพลังงานในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน การสร้างอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและเพื่อการส่งออก หรือการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่สำคัญในห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งรวมถึง semiconductor เหมืองแร่ หรือแม้แต่การรีไซเคิลอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่จากรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แนวคิดของ circular economy เป็นต้น

ในปี 2022 นี้ EIC มองว่าเทรนด์ด้าน net zero ที่ต้องจับตามองมี 3 เทรนด์หลัก ได้แก่ :

1) การพัฒนา Green Taxonomy หรือการจำแนกหมวดหมู่สำหรับกิจกรรมสีเขียวของประเทศต่างๆ – ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในเชิงบวก ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการ นักลงทุนและผู้บริโภคไม่สามารถคัดกรองการดำเนินงานที่ส่งผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้ และยังส่งผลให้เกิดปัญหา greenwashing หรือ การอ้างว่าสินค้าหรือบริการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกด้วย

หลายประเทศจึงได้จัดทำ taxonomy เพื่อสร้างมาตรฐานเพื่อให้การสนับสนุนของภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชนในด้านสิ่งแวดล้อมและ net zero สอดคล้องกัน โดยสหภาพยุโรปจัดเป็นผู้นำด้านการมุ่งสู่เศรษฐกิจ net zero โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2030 และบรรลุ net zero ภายในปี 2050 ทั้งนี้ taxonomy ของ EU จะเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนในสหภาพยุโรปในระยะ 6 ปีข้างหน้า (ตามนโยบายระยะ 2021–2027) และมีแนวโน้มที่จะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานของประเทศอื่นทั่วโลกที่ต้องการกำหนดคำจำกัดความในลักษณะเดียวกัน

เมื่อมีการใช้ taxonomy กันอย่างแพร่หลาย การลงทุนในกิจกรรมสีเขียวก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการสนับสนุนในด้านเงินลงทุนง่ายขึ้นและมากกว่ากิจกรรมที่ไม่ถูกจัดว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกัน กิจกรรมที่ไม่ผ่านเกณฑ์ของ taxonomy หรือ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ก็จะมีความเสี่ยงด้านการจัดหาเงินทุนและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ดังนั้น การพัฒนา green taxonomy ของหลายประเทศทั่วโลกจึงเป็นเรื่องที่จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในต่างประเทศและในโครงการที่มีความเสี่ยงต่อการจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนไปแล้วไม่ได้ใช้งานและไม่สร้างรายได้ (stranded asset)

2) Net zero supply chain – เมื่อบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ตั้งเป้าหมาย net zero ความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายของบริษัทเหล่านี้จะกดดันซัพพลายเออร์ให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับห่วงโซ่อุปทาน แม้ว่าซัพพลายเออร์ หรือ โรงงานจะตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่เข้มงวดในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลยก็ตาม เช่น Apple ที่ยกระดับ net zero ให้เป็นระดับทั้งห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2030 ได้ประกาศว่า ซัพพลายเออร์ของทางบริษัท 110 รายที่กระจายตัวกันทั่วโลก เช่น ในจีน เวียดนาม ไทย อินเดีย หรือบราซิล จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ขณะเดียวกัน Honda ได้เสนอให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4% ทุกปีเทียบกับการปีฐาน 2019 เพื่อให้บรรลุ net zero ภายในปี 2050

เมื่อบริษัทในห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังมุ่งหน้าสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทที่ทำตามเงื่อนไขของห่วงโซ่อุปทานได้ช้ากว่าบริษัทอื่นย่อมเสี่ยงที่จะหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทานนั้น เนื่องจากเป้าหมายจะถูกนำไปกำหนดเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ครอบคลุมกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งจากการดำเนินงานโดยตรง (scope 1) จากการใช้ซื้อไฟฟ้าและความร้อนจากผู้ให้บริการ (scope 2)  และจากการจัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วน (scope 3)  เป็นผลให้บริษัทที่ต้องการทำตามเป้าหมาย net zero อาจมีการนำมาตรฐานการดำเนินงานอย่างมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างหรือเงื่อนไขการคัดเลือกซัพพลายเออร์มาใช้ เช่น ซัพพลายเออร์ต้องกำหนดนโยบายบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงมีกระบวนการทำงานที่ลดขยะ เป็นต้น

ดังนั้น ผู้ประกอบไทยควรเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงาน เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานและลดความเสี่ยงจากการหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทานที่มีข้อกำหนดด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเริ่มจากการหา carbon footprint  ของการดำเนินงานเพื่อกำหนดกรณีฐานของตัวเอง ตั้งเป้าหมายด้านการลดการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้ทรัพยากร และทำแผนการปรับลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกและติดตามอย่างเป็นระบบ อีกทั้ง ทำแผนการลงทุนในคลีนเทคตามความพร้อมขององค์กร เพื่อสร้างความสามารถด้านการแข่งขันในห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังมุ่งสู่การทำตามเป้าหมาย net zero

3)  การลงทุนใน climate tech – หลาย ๆ ประเทศต่างเล็งเห็นว่า climate tech และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการจ้างงาน การเพิ่มผลิตภาพของประเทศ การใช้นวัตกรรม การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการสร้างความยืดหยุ่นในการฟื้นตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น

ดังนั้น หลายประเทศจึงได้กำหนดให้คลีนเทคเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เห็นได้จากนโยบายและแผนระยะยาวที่สนับสนุนการสร้างความสามารถด้านเทคโนโลยีภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเพื่อ leapfrog เทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายในและรักษาความเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่ lithium-ion หรือ แผน Hydrogen Strategy for a Climate-Neutral Europe ซึ่งเป็นแผนการลงทุนและสนับสนุนให้เกิดการผลิตและการใช้กรีนไฮโดรเจน หรือ ไฮโดรเจนที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ที่ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทานและมุ่งเน้นการสร้าง ecosystem นอกจากนี้ การลงทุนจากฝั่งเอกชนก็เร่งตัวขึ้นเช่นกัน ใน 6 เดือนแรกของปี 2021 การลงทุนในบริษัทที่ทำด้าน climate tech ของ Venture Capitals สูงถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าการลงทุนในปี 2020 กว่า 30%

การลงทุนใน climate tech จะเร่งให้เกิดการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโอกาสในการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยีใหม่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การติดตามการพัฒนาเทคโนโลยีจากเทรนด์การลงทุนก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถช่วยพิจารณาโอกาสการลงทุนและความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับผู้เล่น หรือ การลงทุนในตลาดได้ชัดเจนขึ้น

                                                      

เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองข้ามชอต วันที่ 12 มกราคม 2022

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ