SCB EIC BRIEF
28 มิถุนายน 2021
ความมั่นคงที่เริ่มสั่นคลอนของมนุษย์เงินเดือนยุคโควิด
ในช่วงก่อนโควิด ใครหลายคนอาจมองว่า “มนุษย์เงินเดือน” เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้จากการทำงานค่อนข้างมั่นคง เพราะโดยทั่วไปเงินเดือนมักไม่ค่อยมีการปรับลดลง
ในช่วงก่อนโควิด ใครหลายคนอาจมองว่า “มนุษย์เงินเดือน” เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้จากการทำงานค่อนข้างมั่นคง เพราะโดยทั่วไปเงินเดือนมักไม่ค่อยมีการปรับลดลง อีกทั้ง ยังได้รับสวัสดิการจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกหลายอย่าง แถมบางคนยังมีรายได้ในรูปโบนัสอีกด้วย ต่างจากคนทำงานรายวัน รายสัปดาห์ หรือคนทำงานอิสระที่รายได้มักจะขึ้น ๆ ลง ๆ ตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่จากวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่รุนแรงก็ได้ทำให้ความมั่นคงของมนุษย์เงินเดือนนั้นถูกสั่นคลอนไปไม่น้อย
จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรไทยโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายได้ของมนุษย์เงินเดือนไทย (เฉพาะที่ทำงานในภาคเอกชน) ซึ่งประกอบไปด้วย เงินเดือน ค่าทำงานล่วงเวลา (โอที) และโบนัส ในปี 2563 ที่ผ่านมา ในภาพรวมยังคงเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย โดยแรงงานกลุ่มนี้ได้รายได้เฉลี่ยที่ 18,645 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยปีก่อนหน้าราว 1.3% ทั้งนี้ มาจากการที่รายได้ในส่วนของเงินเดือนซึ่งถือเป็นรายได้ส่วนใหญ่ยังคงปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าเป็นเพราะหลายบริษัทได้ทำการปรับเงินเดือนกันแบบปีต่อปีในช่วงต้นปีโดยอ้างอิงกับผลประกอบการปีก่อนหน้าและไม่ใช่ทุกบริษัทที่มีการปรับเงินเดือนกันในระหว่างปี รายได้ส่วนของเงินเดือนจึงยังไม่ได้ถูกกระทบจากผลของโควิดชัดเจนนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูในส่วนของรายได้จากการทำโอทีและโบนัส ซึ่งเป็นส่วนที่แปรผันได้ง่ายกว่า กลับได้มีการปรับลดลงมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 แล้วที่ -10.1% แม้จะเป็นช่วงที่โควิดยังส่งผลไม่เต็มที่นักก็ตาม และรายได้ทั้งสองส่วนนี้ยังได้มีการหดตัวอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ไตรมาสถัดมา โดยเฉลี่ยในไตรมาสที่ 2 ถึง 4 ของปี 2563 รายได้จากค่าโอทีและโบนัสรวมกันลดลงมากถึง -48.2% หรือเรียกได้ว่าหายไปเกือบครึ่งจากที่เคยได้ในช่วงเดียวกันของปี 2562 สะท้อนถึงผลจากทั้งการล็อกดาวน์ เศรษฐกิจที่ทรุดตัวลง และสภาพคล่องของภาคธุรกิจที่ลดลง
เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 2564 ดูเหมือนสถานการณ์จะยังแย่ลงต่อเนื่องสำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนจากวิกฤตโควิดที่เริ่มส่งผลกระทบอย่างเต็มที่ต่อรายได้ โดยรายได้จากทั้งเงินเดือน โอที และโบนัส ของมนุษย์เงินเดือนในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ลดลงที่ -8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้กระทั่งส่วนของเงินเดือนที่ไม่เคยปรับลดลงติดต่อกันมาเป็นเวลา 12 ไตรมาส ก็กลับมาลดลงที่ -2.9% ในไตรมาสแรกของปีนี้ อีกทั้ง ยังเป็นการลดลงในทุกอุตสาหกรรมอีกด้วย
ส่วนที่ถูกกระทบรุนแรงกว่าเงินเดือนก็คือรายได้ในส่วนของโบนัส ซึ่งลดลงถึง -41.0% นับเป็นการลดลงที่มากที่สุดตั้งแต่ที่มีข้อมูลมาเมื่อปี 2556 การลดลงในส่วนนี้คาดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อรายได้ของใครหลายคนไม่น้อย เพราะตามสถิติโบนัสส่วนใหญ่มักจะถูกจ่ายในช่วงไตรมาสแรกของปี ส่งผลทำให้การใช้จ่ายที่มักถูกใช้ด้วยโบนัสซึ่งมักเป็นของชิ้นใหญ่ เช่น การซื้อรถ การซื้อหรือรีโนเวตบ้าน คงต้องถูกปรับแผนกันไปพอสมควร
สำหรับคนทำงานในภาคการท่องเที่ยวซึ่งถูกกระทบหนักที่สุดจากวิกฤตโควิด สถานการณ์ด้านรายได้จึงดูจะเลวร้ายกว่าอุตสาหกรรมอื่น ตัวเลขรายได้ของมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในโรงแรมหรือร้านอาหารลดลงทั้งสิ้น -8.7% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งนับเป็นการลดลงต่อเนื่องมาแล้ว 4 ไตรมาส ถือว่ารายได้ลดลงติดต่อกันนานกว่าอุตสาหกรรมอื่น ส่งผลทำให้รายได้เฉลี่ยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาของมนุษย์เงินเดือนในอุตสาหกรรมนี้ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี หรือพูดอีกอย่างคือ รายได้ที่ได้รับในช่วงปีที่ผ่านมานั้นน้อยกว่าที่เคยได้ในปี 2561 แล้ว
ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวที่พูดถึงนี้ยังไม่ได้รวมเอาผลกระทบของการระบาดระลอก 3 ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2 แต่อย่างใด เชื่อว่าถ้าข้อมูลออกมาหลังจากนี้ อาจเห็นตัวเลขรายได้ที่แย่ลงกว่าเดิมได้อีก
และที่สำคัญ ตัวเลขที่พูดถึงนี้เป็นข้อมูลของคนที่ยังมีงานทำอยู่เท่านั้น แต่บางส่วนของมนุษย์เงินเดือนอาจจะตกงานไปแล้วซึ่งถือเป็นการสูญเสียรายได้ที่เคยได้ไปทั้งหมด หรือบางส่วนที่ต้องออกจากการเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนไปทำงานอิสระก็ไม่มีข้อมูลรายได้ตามที่ถูกจัดเก็บโดยการสำรวจนี้ ดังนั้น ตัวเลขที่ได้เล่าถึงข้างต้นจึงสะท้อนภาพของผลกระทบเพียงส่วนเสี้ยวเดียวของวิกฤตครั้งนี้เท่านั้น
แน่นอนว่าการลดลงของรายได้หรือการสูญเสียรายได้ในรูปแบบอื่นที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงหลัก ๆ มาจากวิกฤตโควิด แต่ทั้งนี้ก็คงคาดหวังไม่ได้ว่าเมื่อวิกฤตคลี่คลายแล้ว สถานการณ์รายได้ของมนุษย์เงินเดือนจะกลับมาเติบโตได้เหมือนเดิมสำหรับทุกคน เพราะในระยะยาวแล้วค่าตอบแทนของแรงงานจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแรงงาน (productivity) และความสำคัญ (relevance) ของประเภทงานที่ทำเป็นหลัก
อันที่จริงตัววิกฤตโควิดเองก็ได้มีส่วนเร่งให้ความสำคัญของ 2 ปัจจัยดังกล่าวนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้นด้วย ดังจะสะท้อนได้จากข้อมูล เช่น จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติฯ ในช่วงโควิด เมื่อเทียบกันระหว่างแรงงานที่ทำงานด้วยทักษะน้อย (เช่น ผู้ใช้แรงงาน) กับแรงงานกลุ่มทักษะสูง พบว่า ในช่วงโควิด กลุ่มแรกซึ่งมีรายได้น้อยกว่าอยู่แล้วนั้นมีรายได้ที่ลดลงในสัดส่วนที่มากกว่า โดยผลลัพธ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นให้เห็นในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในบ้านเรายิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม
หรือ เช่น จากข้อมูลประกาศจ้างงานออนไลน์บนเว็บไซต์ JobsDB.com ที่เมื่อเทียบกันระหว่างช่วงต้นเดือนมิถุนายนของปีนี้ (ช่วงที่เจอโควิดมา 3 ระลอก) กับปลายเดือนมีนาคมของปีที่แล้ว (ช่วงโควิดระลอกแรก) จะพบว่า แม้จำนวนโพสต์ประกาศหางานในภาพรวมนั้นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เมื่อแยกตามประเภทงานจะเห็นว่างานในกลุ่มธุรกิจอย่างการท่องเที่ยวและอสังหาฯ นั้นลดลงค่อนข้างมาก ขณะที่งานในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การขนส่ง และงานด้านไอที กลับมีจำนวนประกาศการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาเดียวกัน ลักษณะดังกล่าวอาจกำลังสะท้อนถึงเทรนด์ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความต้องการของแรงงานในแต่ละประเภทงาน และบางการเปลี่ยนแปลงที่เห็นอยู่นี้อาจกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบระยะยาวหรือ New Normal ก็เป็นได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับแรงงานที่มีทักษะพร้อมสอดรับกับเทรนด์ใหม่แต่อาจเป็นความท้าทายสำหรับแรงงานที่ยังขาดทักษะที่ตลาดต้องการ
เชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาคงเป็นอีกหลักฐานที่พอจะกระตุ้นเตือนให้มนุษย์เงินเดือนได้ตระหนักว่าความมั่นคงที่เคยมีนั้นอาจไม่ได้ยั่งยืนเสมอไป การเอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในระยะข้างหน้าต้องอาศัยการเร่งปรับตัวทั้งในแง่ของการพัฒนาความสามารถและการทบทวนถึงความสำคัญของประเภทงานที่เลือกทำ
ก่อนที่รายได้จะถูกกระทบแบบถาวร
เผยแพร่ในบทความไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 28 มิถุนายน 2021