เมื่อหุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจและตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในอนาคต
หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจและตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในอนาคต ในอดีต นวัตกรรมหุ่นยนต์เกิดขึ้นจากการพัฒนาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม (industrial robot) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเป็นหลัก เช่น หุ่นยนต์การผลิตรถยนต์ หุ่นยนต์แขนกลสำหรับประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น แต่ด้วยวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของนวัตกรรมหุ่นยนต์ ทำให้ทุกวันนี้หุ่นยนต์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คนในยุคดิจิทัลมากขึ้นในรูปแบบของหุ่นยนต์บริการที่เน้นการช่วยเหลือ การบริการ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาด หุ่นยนต์ที่ช่วยดูแลผู้ป่วย และหุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติ
โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติ (delivery robot) ประเภทรถลำเลียงสินค้าถือเป็นหนึ่งในหุ่นยนต์บริการที่ผู้ผลิตนวัตกรรมและผู้ประกอบการในภาคบริการให้ความสนใจในการพัฒนาและนำไปใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของหุ่นยนต์บริกรในร้านอาหาร หุ่นยนต์รับส่งของ และหุ่นยนต์
ส่งอาหาร ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2019 ที่ผ่านมา Amazon บริษัทค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของโลกได้พัฒนาและเริ่มทดลองใช้ delivery robot ภายใต้ชื่อ Amazon Scout ในการส่งพัสดุให้กับลูกค้าในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ รวมถึงโรงแรมหลายแห่งในจีน ญี่ปุ่น และโรงแรมในเครือของ Starwood, Hiltons และ Marriott ในสหรัฐฯ ได้ทดลองใช้ delivery robot ในการให้บริการ room service ส่งอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงของใช้ให้กับลูกค้าถึงห้องพักด้วยเช่นกัน โดยจากข้อมูลของสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (International Federation of Robotics: IFR) พบว่า ปริมาณยอดขาย delivery robot ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 ปริมาณยอดขายเพิ่มขึ้นราว 60%YOY หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 176,000 ยูนิต ซึ่งกว่า 40% ของปริมาณยอดขายถูกนำมาใช้งานในระบบโลจิสติกส์ของธุรกิจ e-commerce ธุรกิจโรงแรม และโรงพยาบาล
สำหรับไทย Delivery Robot ถูกนำมาใช้แล้วในช่วงสถานการณ์ COVID-19 เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรในสถานพยาบาล ถึงแม้ว่าในปี 2019 ที่ผ่านมา ไทยได้นำเข้า industrial robot เป็นอันดับ 14 ของโลกหรือกว่า 3,000 ยูนิตเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต แต่หุ่นยนต์บริการในรูปแบบ delivery robot ยังคงไม่ถูกนำมาใช้งานแพร่หลายมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนการนำเข้านวัตกรรมที่ค่อนข้างสูง และผู้ใช้งานยังมีความกังวลในด้านความพร้อมของระบบอัตโนมัติที่รองรับการใช้งาน delivery robot รวมถึงการขาดแคลนช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญในการบำรุงรักษา ขณะที่การสร้างนวัตกรรมเองในประเทศยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา และการใช้งานอยู่ในระยะการทดสอบระบบเท่านั้น
แต่จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนของไทยไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย และผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมในการนำเอา delivery robot ที่อยู่ระหว่างการทดสอบระบบมาใช้งานในโรงพยาบาลเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและช่วยลดการสัมผัสระหว่างบุคคลตามมาตรการ physical distancing เช่น หุ่นยนต์ขนส่งอาหารและเวชภัณฑ์ในหอผู้ป่วย และหุ่นยนต์ส่งของเฉพาะจุดที่รับส่งยาและอาหารสำหรับผู้ป่วยที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งทางคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้ประเมินว่า การนำ delivery robot มาใช้ในช่วงวิกฤต COVID-19 สามารถช่วยแบ่งเบาการทำงานของบุคลากรในโรงพยาบาลได้กว่า 30% และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโรงพยาบาลได้มากขึ้น
EIC ประเมินว่า หุ่นยนต์ขนส่งอัตโนมัติจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคธุรกิจของไทยในช่วงหลัง COVID-19 วิกฤตสถานการณ์ COVID-19 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการใช้งาน delivery robot เร็วขึ้นในภาคธุรกิจของไทย ซึ่งนอกจากการใช้งานในโรงพยาบาลแล้ว ในระยะเริ่มต้น delivery robot มีโอกาสเริ่มใช้งานภายในพื้นที่ปิดซึ่งการควบคุมระบบหุ่นยนต์สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในพื้นที่ปิดภาคการผลิต เช่น หุ่นยนต์ขนส่งชิ้นส่วนในโรงงานการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการคลังสินค้า และในพื้นที่ปิดภาคบริการ เช่น หุ่นยนต์ส่งของและอาหารในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร รวมถึงหุ่นยนต์ขนส่งพัสดุในธุรกิจโลจิสติกส์เพื่อสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New normal ที่หันมาให้ความสำคัญด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทนำเข้านวัตกรรมและกลุ่มผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมไทยได้เริ่มมีการนำเข้า delivery robot ที่มีศักยภาพสูงเพื่อใช้สำหรับการให้บริการในโรงพยาบาล โรงแรม คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และโรงงานผลิต อีกทั้งยังมีการต่อยอดพัฒนาโดยการนำเข้า delivery robot รูปแบบต่าง ๆ จากผู้ผลิตหุ่นยนต์ในต่างประเทศมาทดสอบระบบและพัฒนาฟังก์ชันการใช้งานเพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้งาน delivery robot ในไทยได้อย่างแท้จริง รวมถึงการนำเสนอแพ็กเกจหุ่นยนต์ให้เช่ารายเดือนเพื่อลดภาระการลงทุนและดึงดูดความต้องการใช้งานของภาคธุรกิจที่ต้องการใช้ delivery robot ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการนำเอานวัตกรรมดังกล่าวมาใช้งานจริงและต่อยอดพัฒนานับเป็นก้าวสำคัญที่อาจเข้ามาพลิกโมเดลธุรกิจด้วยดิจิทัล (digital transformation) อีกด้วย
อย่างไรก็ดี EIC ประเมินว่า การนำหุ่นยนต์ขนส่งอัตโนมัติมาใช้งานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านทักษะและความรู้ของบุคลากร, 2.ความพร้อมของระบบอัตโนมัติเพื่อรองรับการใช้งาน และ 3.การกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ทักษะและความรู้ของบุคลากรด้านหุ่นยนต์ ด้วยจำนวนผู้พัฒนาระบบและผู้มีความสามารถทางการผลิตหุ่นยนต์ของไทยที่มีจำนวนไม่มากนักในปัจจุบัน การส่งเสริมให้เกิดการยกระดับทักษะของบุคลากรและการผลิตบุคลากรที่มีองค์ความรู้และสามารถนำทักษะไปต่อยอดผลิตหุ่นยนต์เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในประเทศอย่างจริงจังอาจต้องเร่งดำเนินการเพื่อรองรับความต้องการใช้งาน delivery robot
ที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต 2. ความพร้อมของระบบอัตโนมัติ เนื่องจาก delivery robot เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหุ่นยนต์กับมนุษย์ ดังนั้น การใช้งาน delivery robot จึงต้องการการออกแบบและอัปเกรดระบบอัตโนมัติให้มีความทันสมัยตลอดเวลาเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน โดยการเปิดให้บริการเทคโนโลยี 5G เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ คาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการใช้งานของ delivery robot และเพิ่มศักยภาพในการรองรับการใช้งาน delivery robot ได้เป็นอย่างดี 3. การกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ภาครัฐอาจต้องมีการพิจารณาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและการกำหนดกฎระเบียบการจราจรเพื่อรองรับการใช้งาน delivery robot ในพื้นที่สาธารณะและท้องถนน ซึ่งการใช้ delivery robot ในพื้นที่ดังกล่าว ผู้ให้บริการอาจเผชิญปัญหาในด้านกฎหมายจราจร ความหนาแน่นบนทางเท้าที่มีพื้นที่จำกัด ความปลอดภัย รวมถึงความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมสินค้าระหว่างขนส่ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้งานหุ่นยนต์เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤติ COVID-19 ถือเป็นตัวเร่งสำคัญที่กระตุ้นให้นวัตกรรมหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทในภาคธุรกิจมากขึ้น อีกทั้งภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของไทย ดังนั้นนวัตกรรมหุ่นยนต์จึงถือเป็นหนี่งในเทคโนโลยีที่จะเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต
เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองข้ามชอต วันที่ 16 กรกฎาคม 2020