SHARE
SCB EIC BRIEF
15 พฤษภาคม 2019

India Tourism : ชาวอินเดีย...นักท่องเที่ยวศักยภาพใหม่ที่ไทยต้องจับตา

ททท. เตรียมนำนักท่องเที่ยวอินเดียเข้ามาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ขยายตัวในอัตราที่ต่ำลง


iStock-485614781.jpg

“ททท. เตรียมนำนักท่องเที่ยวอินเดียเข้ามาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ขยายตัวในอัตราที่ต่ำลง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีประชากรใกล้เคียงกัน เที่ยวบินขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ยังเตรียมให้ความรู้กับผู้ประกอบการเพื่อรับมือกับตลาดนักท่องเที่ยวอินเดีย ซึ่งมีความต้องการแตกต่างจากนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นทั่วไป”

 ที่มา: นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, มกราคม 2019


ภาคการท่องเที่ยวไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ

นับตั้งแต่ปี 2012 จีนได้ครองตำแหน่งกลุ่มนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก โดยในปี 2017 มีนักท่องเที่ยวจีนกว่า 130 ล้านรายทั่วโลก สร้างยอดการใช้จ่ายกว่า 1.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ในกรณีของประเทศไทย จากข้อมูลเฉลี่ยปี 2018-2019 (14 เดือน) รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนเฉลี่ย
มากถึง 29% ของรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ในระยะต่อไป คาดว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีศักยภาพสูงในการ
เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญต่อภาคการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากจากเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ในอัตราที่สูง แม้จะชะลอลงบ้างก็ตาม นอกจากนี้ พบว่า ชาวจีนที่มีหนังสือเดินทางในปัจจุบันมีสัดส่วนเพียงราว 10% ของประชากรทั้งหมด[1] แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในระดับสูงของการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนในอนาคต

อย่างไรก็ดี การพึ่งพานักท่องเที่ยวชาติใดชาติหนึ่งมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้ อย่างเช่นการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจากเหตุการณ์เรือล่มที่จ.ภูเก็ตในเดือนกรกฎาคมปี 2018 ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนหดตัวที่ 9.6%YOY ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 และยังทำให้ในภาพรวมนักท่องเที่ยวหดตัวที่ 3.1%YOY
ในช่วงเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวจีนเพียงชาติเดียว ดังนั้นในระยะต่อไป ไทยจึงควรดึงดูดนักท่องเที่ยวจากชาติอื่นเพิ่มเติม เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงภาคการท่องเที่ยวของไทยให้มากขึ้น

รูปที่ 1 BCG Matrix ด้านแหล่งที่มาของรายได้นักท่องเที่ยวของไทย

india_tourism01.png
หมายเหตุ: คำนวณจากแหล่งที่มาของรายได้นักท่องเที่ยวของไทย 20 อันดับแรกปี 2014-2018

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา


สำหรับการวิเคราะห์นักท่องเที่ยวชาติที่มีศักยภาพ จะใช้วิธีการแบบ BCG Matrix ที่เป็นการพิจารณาใน 2 มิติ คือด้านการเติบโตและสัดส่วนรายได้ต่อรายได้ทั้งหมด โดยจะสามารถแบ่งได้ 4 กลุ่มคือ 1) กลุ่มดาวเด่น หรือกลุ่ม Star จะเป็นกลุ่มที่มีอัตราเติบโตและสัดส่วนรายได้มากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งหมด 2) กลุ่มตลาดหลัก หรือกลุ่ม Cash Cow เป็นกลุ่มที่มีส่วนแบ่งรายได้มากกว่าค่าเฉลี่ย แต่มีการเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3) กลุ่มศักยภาพ หรือกลุ่ม Question Mark เป็นกลุ่มที่มีส่วนแบ่งรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่มีการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย และ 4) กลุ่ม Dog จะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้และอัตราเติบโตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

จากข้อมูลในช่วง 5 ปีล่าสุด (ปี 2014-2018) อีไอซีพบว่า กลุ่มดาวเด่น (Star) ประกอบด้วยจีน สหรัฐฯ และมาเลเซีย โดยมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าว รวมกันที่ 35% ต่อรายได้รวมจากการท่องเที่ยว (เฉพาะจีนอยู่ที่ 26%) ขณะที่กลุ่มศักยภาพ (Question Mark) ประกอบด้วย เกาหลีใต้ เวียดนาม อินเดีย สปป.ลาว ไต้หวัน กัมพูชา และฮ่องกง (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นกลุ่มที่หากสามารถรักษาระดับการขยายตัวได้ก็จะมีโอกาสกลายเป็นกลุ่ม Star ในระยะถัดไป 

นักท่องเที่ยวอินเดียเป็นกลุ่มที่น่าจับตา เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวชาติอื่น ในกลุ่มศักยภาพ

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลทางเศรษฐกิจของทั้ง 7 ประเทศในกลุ่มศักยภาพข้างต้น อีไอซีประเมินว่า อินเดีย
มีแนวโน้มที่จะมีศักยภาพมากที่สุด เนื่องจากอินเดียมีจำนวนประชากรที่มากเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่จีน โดยในปี 2017 มีประชากรอินเดียมากถึง 1.3 พันล้านคน ในด้านกำลังซื้อของชาวอินเดียก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยประมาณการว่าการใช้จ่ายของผู้มีรายได้ปานกลางชาวอินเดียจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2020 และอาจเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030[2] นอกจากนี้ หากด้านการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจยังพบว่าในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจอินเดียมีการเติบโตเฉลี่ยมากถึง 7.3% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย และจากการคาดการณ์ของ IMF คาดว่าอนาคตเศรษฐกิจอินเดียจะยังเติบโตในระดับสูงต่อเนื่องในปี 2019 และ 2020 ที่ 7.3% และ 7.5% ตามลำดับ

รูปที่ 2 อัตราการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดีย
india_tourism02.png



เทียบกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น, 3MMA
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ CEIC

 
ในด้านการท่องเที่ยวของคนอินเดียพบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไทยเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย โดยเป็นแหล่งท่องเที่ยว 3 อันดับแรกร่วมกับสิงคโปร์และสหรัฐฯ นอกจากนี้ หากพิจารณาจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางเข้าไทยก็พบว่าในช่วงประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ประมาณปี 2016) นักท่องเที่ยวอินเดียมีอัตราขยายตัวสูงกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอย่างต่อเนื่อง (รูปที่ 2) จึงมีความเป็นไปได้สูงที่นักท่องเที่ยวอินเดียจะสามารถขยับเข้าสู่กลุ่ม Star ได้ไม่ยาก โดยจากข้อมูลล่าสุดในปี 2018 นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทยมากถึง 1.6 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวรวมในระดับสูงที่ประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 3.3% ของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับที่ 8 เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปอยู่ที่ 42,708 บาทในปี 2017 โดยในระยะข้างหน้า อีไอซีคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากอินเดียจะยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และมีบทบาทต่อการเป็นแหล่งที่มาของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นตามขนาดขนาดประชากรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
 

ททท. เริ่มใช้มาตรการเชิงรุกบุกอินเดีย

ภาครัฐของไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของนักท่องเที่ยวอินเดียเช่นกัน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีแผนจะขยายสำนักงานในต่างประเทศไปยังเมืองรองของอินเดีย เช่น อัห์มดาบาด ปูเน่ อมฤตสระ และบูบันเนสชวาร์ รวมถึงในปีนี้ยังมีแผนการจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยว Amazing Thailand ในเมืองดังกล่าวและเมืองรองอื่น ๆ ในช่วงปี 2019 อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวอินเดียที่มีศักยภาพในการขยายตัวในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ ททท. ยังมีแผนสร้างทางเลือกการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวอินเดียผ่านการท่องเที่ยวเมืองรองต่าง ๆ ในไทยอีกด้วย เช่น นครศรีธรรมราช ระนอง ชุมพร ระยอง จันทบุรี ตราด เชียงใหม่ เชียงราย และอยุธยา

นอกจาก ททท. ที่มีแผนดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดียข้างต้นแล้ว การขยายตัวของนักท่องเที่ยวอินเดียยังได้รับแรงสนับสนุนจากหลายสายการบินที่ทยอยเปิดเส้นทางการบินสู่เมืองรองของอินเดียเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันสายการบิน Thai Smile เปิดให้บริการเส้นทางการบินระหว่างไทย-อินเดีย แล้วจำนวน 5 เมือง ประกอบด้วยเมืองคยา ชัยปุระ พาราณสี มุมไบ และลัคเนา ซึ่งทยอยขยายเส้นทางการบินมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2016 ส่วนสายการบิน Thai AirAsia ที่ขยายเส้นทางบินใหม่กับอินเดียเพิ่มต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2017 ปัจจุบันให้บริการไปแล้วรวม 8 เส้นทาง คือ เมืองโกชิ โกลกาตา คยา เจนไน ชัยปุระ บังคาลอร์ ภูวเนศวร และวิศาขาปัตตนัม ด้านสายการบิน Nok Scoot ก็พึ่งเปิดเส้นทางบินสู่เมืองเดลีเมื่อปลายปี 2018 และยังวางแผนขยายเส้นทางการบินกับอินเดียให้มากขึ้นในระยะถัดไป
 

การศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการรองรับนักท่องเที่ยวอินเดียในอนาคต

รูปที่ 3 สัดส่วนรายจ่ายของนักท่องเที่ยวอินเดียในปี 2017
india_tourism03.png


 
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

อีไอซีพบว่า นักท่องเที่ยวอินเดียมีการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในส่วนของที่พักอาศัย การชอปปิง อาหารและเครื่องดื่ม และความบันเทิงเป็นส่วนมาก โดยมีสัดส่วนการใช้จ่ายร้อยละ 28.6 25.5 19.1 และ 11.3 ตามลำดับ (รูปที่ 3) และจากผลสำรวจนักท่องเที่ยวของ ททท. ที่เน้นการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มศักยภาพสูง[3] ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มทั่วไป 2 เท่า พบว่านักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวชอบเลือกซื้อสินค้าระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว โดยสินค้าที่นิยมซื้อได้แก่ เสื้อผ้า (73.3%) รองมาคืออาหารและของฝาก และยังพบว่าปัจจัยสำคัญที่นักท่องเที่ยวศักยภาพสูงชาวอินเดียใช้พิจารณาเป้าหมายการเดินทางได้แก่ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบให้เลือก อากาศดี โปรโมชันแพ็กเกจท่องเที่ยวที่ดึงดูด และความน่าสนใจของวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ทั้งนี้ผู้ประกอบการในธุรกิจด้านการท่องเที่ยวจึงควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวอินเดียในอนาคต

นอกจากการเตรียมพร้อมธุรกิจเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอินเดียในอนาคตแล้ว การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้นก็เป็นเรื่องที่มิอาจมองข้ามได้ โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรมและที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายสินค้า รวมถึงบริษัทนำเที่ยว ควรใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น การใช้ Online Travel Agency (OTA) ที่ชื่อว่า MakeMyTrip ซึ่งเป็น platform สำหรับวางแผนท่องเที่ยวและจองที่พักที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดีย เพื่อการประชาสัมพันธ์และเพิ่มช่องทางการเข้าถึง รวมถึงยังอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดียได้อีกด้วย

[1] ที่มา: jingtravel.com ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของสาธารณรัฐประชาชนจีน
[2] ข้อมูลจาก Kharas, H. & Gertz, G. (2010). The New Global Middle Class: A Cross-Over from West to East. Wolfensohn Center for Development at Brookings. และอีไอซีทำการแปลงค่าจาก PPP USD เป็น Nominal USD
[3] นักเที่ยวศักยภาพสูงคือนักท่องเที่ยวที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยมีถิ่นพำนักและเป็นประชากรในทะเบียนราษฎร์ของประเทศอินเดีย ต้องเคยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วง 5 ปีก่อนหน้าวันที่สำรวจอย่างน้อย 1 ครั้ง และมีระดับเศรษฐฐานะ (การเปรียบเทียบรายได้กับค่าเฉลี่ยของปะเทศ) ตั้งแต่ C+ ขึ้นไป

                                                   

เผยแพร่ในการเงินการธนาคาร คอลัมน์เกร็ดการเงิน วันที่ 15 พฤษภาคม 2019

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ