อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต … จุดเปลี่ยนและโอกาสของไทยที่ไม่ไกลเกินเอื้อม
“อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร” คือหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามองและมีศักยภาพการเติบโตที่ค่อนข้างโดดเด่นในพื้นที่ EEC เพราะนอกจากจะเป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายในกลุ่ม First S-Curve แล้ว อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของไทยยังมีความได้เปรียบจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและวัตถุดิบทางการเกษตร รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลกในอนาคต
ผู้เขียน: โชติกา ชุ่มมี
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 8 ตุลาคม 2018 คอลัมน์ Smart EEC
“อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร” คือหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามองและมีศักยภาพการเติบโตที่ค่อนข้างโดดเด่นในพื้นที่ EEC เพราะนอกจากจะเป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายในกลุ่ม First S-Curve แล้ว อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของไทยยังมีความได้เปรียบจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและวัตถุดิบทางการเกษตร รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลกในอนาคต
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรมและ JETRO เปิดเผยว่าปัจจุบันมีนักลงทุนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC เพื่อสานต่อนโยบาย Food Innopolis ของภาครัฐ ซึ่งตั้งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงที่อาศัยนวัตกรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม รวมถึงการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากแหล่งโปรตีนทางเลือกใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสอดรับกับยุทธศาสตร์ของประเทศในเรื่อง “Food for the Future ที่ต้องการผลักดันให้เกิดศูนย์นวัตกรรมอาหารและสินค้าเกษตรแปรรูปในพื้นที่ EEC เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรแล้ว ภาคธุรกิจยังสามารถต่อยอดและเชื่อมโยงองค์ความรู้กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ก่อนในระยะเริ่มต้นอย่างอุตสาหกรรมดิจิทัลหรืออุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนและยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ รวมทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 อีกด้วย
อาหารทางการแพทย์ (Medical food) คืออีกหนึ่งสินค้าดาวรุ่งในกลุ่มอาหารแห่งอนาคตที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตสูงต่อเนื่องในอนาคต โดยได้รับอานิสงส์จากการที่ทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ต่างจากไทยที่มีแนวโน้มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุค่อนข้างเร็ว โดยคาดว่าในอีกราว 30 ปีข้างหน้า สัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่เกือบ 30% ของจำนวนประชากร จากปัจจุบันที่ 11% ส่งผลให้ความต้องการด้านการรักษาพยาบาลตลอดจนการใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพซึ่งรวมถึงอาหารทางการแพทย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่าภายในปี 2020 มูลค่าตลาดอาหารทางการแพทย์ในไทยจะเติบโตขึ้นไปอยู่ที่ราว 2,850 ล้านบาท หรือสูงขึ้นถึงเกือบเท่าตัวจากปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารทางการแพทย์ยังสอดรับกับ Roadmap ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศ
สู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งใน New S-Curve ของไทยอีกด้วย อย่างไรก็ดี หนึ่งในความท้าทายสำคัญและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทางการแพทย์ไม่ควรมองข้าม คือการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับกลุ่มพันธมิตรหลักอย่างโรงพยาบาลเพื่อจะได้ทราบถึงข้อมูลแนวโน้มการเจ็บป่วยและการเกิดโรคใหม่ๆ จากผู้ใช้โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจสามารถพัฒนาและปรับสูตรอาหารทางการแพทย์ให้เหมาะสมต่อโรคและตรงกับความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น
และท้ายที่สุดต้องไม่ลืมว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านกายภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านขนส่งคมนาคมที่คลอบคลุมและต่อเนื่องทุกรูปแบบทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ คือจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC เพราะนอกจากจะช่วยเชื่อมต่อระหว่างแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตรทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านกับโรงงานแปรรูปอาหารแล้ว ยังช่วยให้การขนส่งและกระจายสินค้าต่อไปยังตลาดปลายทางโดยเฉพาะอาเซียนและจีนมีความสะดวกรวดเร็วและคล่องตัวมากขึ้นอีกด้วย