ผู้เขียน: ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ และ ธนกร ลิ้มวิทย์ธราดล
![Event.png]() |
![Event.gif]()
|
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ในการประชุมวันที่ 5 สิงหาคม 2015 |
![Analysis.png]() |
![Analysis.gif]()
|
- กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีกว่าที่ กนง. คาด และการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก นอกจากนี้ กนง. ยังมองว่าการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น แตกต่างจากการประชุมครั้งก่อน (วันที่ 10 มิถุนายน) ที่ประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนยังเปราะบาง ในขณะที่การส่งออกยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจต่อไปและยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากเศรษฐกิจจีนและเอเชียที่ชะลอตัว
- เสถียรภาพทางการเงินมีความเสี่ยงมากขึ้นหลังจากที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว แนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยภายในไตรมาส 4 ของปีนี้มีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อตลาดเงินและตลาดทุนของตลาดเกิดใหม่ ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปกว่า 4% ไปอยู่ที่ระดับ 35.1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นในภูมิภาคในช่วงเวลาเดียวกัน และเงินทุนจากต่างชาติยังไหลออกจากตลาดการเงินไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยเผชิญกับความเสี่ยงคล้ายกับประเทศเพื่อนบ้านที่เงินสกุลริงกิตของมาเลเซียและรูเปียของอินโดนีเซียได้อ่อนค่าลงอย่างหนักไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ธนาคารกลางของทั้ง 2 ประเทศต้องเข้าแทรกแซงค่าเงินและทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว (รูปที่ 1)
รูปที่ 1: ทุนสำรองระหว่างประเทศของมาเลเซียและอินโดนีเซียลดลงอย่างรวดเร็ว
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ CEIC
ตารางสรุปคำแถลงการณ์ของ ธปท. เทียบกับการประชุมครั้งก่อน
หัวข้อ |
การประชุมครั้งก่อน
(10 มิ.ย. 2015) |
การประชุมครั้งนี้
(5 ส.ค. 2015) |
เศรษฐกิจไทย |
เศรษฐกิจ ไทยฟื้นตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ครั้งก่อน แรงส่งทางเศรษฐกิจชะลอลงจากการบริโภคที่เปราะบางและการส่งออกที่หดตัวต่อ เนื่อง อย่างไรก็ดี การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐทำได้เพิ่มขึ้นและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีต่อ เนื่องมีบทบาทในการพยุงเศรษฐกิจ ในระยะต่อไปเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ |
เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและภัยแล้ง โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูงกว่าคาดและการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ทำได้ดีต่อเนื่องขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้อย่างช้าๆ แต่การส่งออกสินค้าหดตัวมากกว่าคาด |
สถานการณ์เงินเฟ้อ |
โอกาส เกิดภาวะเงินฝืดอยู่ในระดับต่ำ ราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น การคาดการณ์เงินเฟ้ออยู่ในระดับใกล้ที่เคียงกับเป้าหมายเงินเฟ้อ |
แรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ยังมีจำกัด และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นช้ากว่าประมาณการเดิมอาจทำให้ช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเป็นบวกเลื่อนออกไป |
ความเสี่ยงที่ กนง. ติดตาม |
เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะจีนและเอเชีย |
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
- ภาวะภัยแล้ง
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาเป็นบวกช้ากว่าคาด
|
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย |
มติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% |
มติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% |
เหตุผลของกนง. |
- นโยบายการเงินควรอยู่ในภาวะผ่อนคลายต่อเนื่อง
- การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมาช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายขึ้นและอัตราแลก เปลี่ยนปรับตัวในทิศทางเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น
|
- การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาได้ช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินเพิ่มเติม
- อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในทิศทางที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
|
|
|
![Implication.png]() |
![Implication.gif]()
|
- อีไอซีคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ระดับ 1.50% จนถึงสิ้นปี แม้ว่าความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจชะลอตัวยังมีอยู่มาก แต่ความเสี่ยงด้านเงินทุนไหลออกและเสถียรภาพค่าเงินบาทจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ สนับสนุนให้ไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงอีก เพราะเงินทุนไหลออกอาจทำให้ต้นทุนทางการเงินของประเทศปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่ว่าจะจากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรหรือการลดลงของราคาสินทรัพย์ในตลาดหุ้น
|