SHARE
SCB EIC ARTICLE
15 กุมภาพันธ์ 2013

ฟิลิปปินส์: ได้เปรียบเรื่องภาษา เด่นภาคบริการ

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ คือ การเติบโตของภาคบริการ และการบริโภคในประเทศ หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ที่ระดับ 4-5% ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี โดยได้ปัจจัยหนุนของการเติบโตในภาคบริการที่มีสัดส่วนเกือบ 60% ของ GDP ซึ่งสามารถดูดซับแรงงานได้กว่า 50% ทั้งนี้ ธุรกิจในภาคบริการที่เป็นดาวเด่นของฟิลิปปินส์ คือกิจการรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ หรือ Business Process Outsourcing (BPO) โดยเฉพาะธุรกิจ call center ที่มีการเติบโตของรายได้ 15% ต่อปี ซึ่งข้อได้เปรียบของคนฟิลิปปินส์ด้านภาษาอังกฤษ ทำให้แรงงานฟิลิปปินส์เป็นที่ต้องการของตลาด จึงมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในต่างประเทศจำนวนมาก เช่น พยาบาล ครูสอนภาษา เป็นต้น

ผู้เขียน: EIC | Economic Intelligence Center

 

 133-1.jpg

 

 

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ คือ การเติบโตของภาคบริการ และการบริโภคในประเทศ หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ที่ระดับ 4-5% ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี โดยได้ปัจจัยหนุนของการเติบโตในภาคบริการที่มีสัดส่วนเกือบ 60% ของ GDP ซึ่งสามารถดูดซับแรงงานได้กว่า 50% ทั้งนี้ ธุรกิจในภาคบริการที่เป็นดาวเด่นของฟิลิปปินส์ คือกิจการรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ หรือ Business Process Outsourcing (BPO) โดยเฉพาะธุรกิจ call center ที่มีการเติบโตของรายได้ 15% ต่อปี ซึ่งข้อได้เปรียบของคนฟิลิปปินส์ด้านภาษาอังกฤษ ทำให้แรงงานฟิลิปปินส์เป็นที่ต้องการของตลาด จึงมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในต่างประเทศจำนวนมาก เช่น พยาบาล ครูสอนภาษา เป็นต้น

ฟิลิปปินส์มีประชากรสูงถึง 100 ล้านคน มากเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย การบริโภคในประเทศจึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานฟิลิปปินส์ต่างด้าวเกือบ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออก ยังช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและการบริโภคของคนในประเทศ ฟิลิปปินส์ยังเป็นประเทศที่มีประชากรวัยทำงานเป็นจำนวนมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอายุของประชากรอยู่ที่ 23 ปี ในขณะที่ไทยมีค่าเฉลี่ยอายุที่ 35 ปี อีกทั้งมีการประเมินว่าในปี 2020 ประชากรฟิลิปปินส์จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 113 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริโภค และกำลังแรงงานที่จะเติบโตสูงขึ้นในอนาคต

ฟิลิปปินส์ได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจ call center ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจภาคบริการที่มีการเติบโตสูง นอกจากจุดแข็งด้านภาษาแล้ว แรงงานที่มีราคาถูก หรือคิดเป็น 1 ใน 6 ของค่าจ้างพนักงาน call center ในสหรัฐฯ ทำให้บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งใน สหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย เช่น AT&T, JPMorgan Chase, Expedia, Citibank, HP และ Oracle หันมา outsource ศูนย์ call center ในฟิลิปปินส์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน โดยจะมีพนักงาน call center ในฟิลิปปินส์ คอยรับสายลูกค้าบริษัทเหล่านี้ ที่โทรมาจากอีกฟากมุมหนึ่งของโลก และด้วยเวลาของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกัน เช่น การทำงานในฟิลิปปินส์ตอนกลางวัน จะเป็นช่วงเวลากลางคืนในสหรัฐฯ ทำให้บริษัทส่วนใหญ่พร้อมให้บริการ call center ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ในปี 2011 ฟิลิปปินส์แซงหน้าอินเดีย ทั้งในแง่รายได้ และจำนวนพนักงาน กลายเป็นประเทศผู้นำในธุรกิจ call center ไปแล้ว โดยในปี 2012 ธุรกิจนี้ทำรายได้ให้กับฟิลิปปินส์ถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 15% ของ GDP ในภาคบริการ มีจำนวนแรงงานกว่า 6 แสนคน และมีบริษัท call center ในฟิลิปปินส์มากกว่า 600 บริษัท แม้ว่าต้นทุนการ outsource ของธุรกิจ call center ในอินเดียจะถูกกว่า แต่สิ่งที่ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาบริษัทผู้ว่าจ้าง คือการบริการที่มีคุณภาพมากกว่า โดยเฉพาะภาษาอังกฤษของคนฟิลิปปินส์มีสำเนียงที่ฟังง่ายกว่าสำเนียงของคนอินเดีย และด้วยลักษณะนิสัยที่เป็นมิตร อีกทั้งฟิลิปปินส์เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐฯ เกือบ 50 ปี ทำให้พนักงาน call center เข้าใจวัฒนธรรมอเมริกัน และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ดี นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่ทันสมัย ถูกออกแบบให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบริษัทผู้ว่าจ้าง ทำให้ call center ในฟิลิปปินส์ เป็นธุรกิจที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 15% ต่อปี และอนาคตมีการตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2016

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าค่าจ้างพนักงาน call center ในฟิลิปปินส์ จะมีราคาถูก แต่สิ่งที่ผู้ว่าจ้างมีความกังวลคือ ฟิลิปปินส์ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อข้อมูลของลูกค้าที่ต้องปกปิดเป็นความลับ นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์อาจได้รับผลกระทบจากกฎหมายคุ้มครองธุรกิจ call center และผู้บริโภคในสหรัฐฯ หรือ U.S. Call Center and Consumer Protection Act  เช่น บริษัทที่ย้ายฐาน call center ไปนอกสหรัฐฯ จะถูกตัดสิทธิต่างๆ เช่น เงินให้เปล่าจากรัฐบาล แต่จากเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว การลดต้นทุนโดยการ outsource ศูนย์ call center ในประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า จึงยังเป็นทางเลือกของบริษัทต่างชาติส่วนใหญ่

ธุรกิจบริการของฟิลิปปินส์ที่มีความโดดเด่น คือ ร้าน fast food อย่าง Jollibee ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งต่างชาติได้ด้วยกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง และเข้าใจความต้องการของลูกค้า กระแสธุรกิจร้านอาหารจานด่วนแบรนด์ระดับโลก อย่าง McDonald, Burger King, KFC ที่เข้ามาเปิดสาขาอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก ได้กลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของร้านอาหารในท้องถิ่น กระนั้น Jollibee ร้าน fast food สัญชาติฟิลิปปินส์พิสูจน์แล้วว่าสามารถเอาชนะคู่แข่งยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศได้ Jollibee ถือกำเนิดในปี 1975 เดิมเป็นร้านขายไอศครีมเล็กๆ และต่อมาได้เปลี่ยนมาขายอาหารประเภทเบอร์เกอร์เป็นหลัก จากจุดเริ่มต้นที่มีเพียง 2 ร้าน ปัจจุบัน Jollibee มีสาขามากกว่า 750 แห่งทั่วฟิลิปปินส์ และอีก 80 สาขา ใน 7 ประเทศ เช่น สหรัฐฯ เวียดนาม และฮ่องกง เป็นต้น ในปี 2011 Jollibee เฉพาะสาขาในฟิลิปปินส์ สามารถทำรายได้กว่า 5 หมื่นล้านเปโซ หรือเกือบ 4 หมื่นล้านบาท และครองส่วนแบ่งตลาด fast food ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 69% ในขณะที่อันดับ 2 คือ McDonald ถือส่วนแบ่งตลาดเพียง 16% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากเทียบระหว่าง Jullibee กับคู่แข่งนั้น Jollibee มีบริการส่งถึงบ้าน บริการในรูปแบบ drive thru รับจัดงานปาร์ตี้ และการเปิด 24 ชั่วโมงในบางสาขา รวมถึงคุณภาพการให้บริการของพนักงาน ซึ่งก็แทบไม่มีอะไรต่างจากคู่แข่งเลย อีกทั้งราคาอาหารของคู่แข่งหลักอย่าง McDonald ก็ถูกกว่า Jollibee ด้วยซ้ำ เฉลี่ยประมาณ 2-5 เปโซ แต่กุญแจแห่งความสำเร็จที่ทำให้ Jollibee เป็นเบอร์หนึ่งในตลาด fast food ของฟิลิปปินส์ จนสามารถเดินหน้าขยายกิจการไปยังต่างประเทศก้าวไปเป็นบริษัทข้ามชาติได้ คือ การเข้าใจความต้องการลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และการสร้างความแตกต่าง

เมื่อครั้งที่ McDonald เริ่มเข้ามาเปิดสาขาในฟิลิปปินส์ปี 1981 โดยขายเบอร์เกอร์เมนูมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก Jollibee ออกเมนูใหม่ทันทีเป็นเบอร์เกอร์รสจัดจ้านที่ถูกปากคนฟิลิปปินส์ จุดนี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภายหลัง McDonald ต้องพัฒนาเมนูให้เข้ากับความชอบของคนในท้องถิ่น เช่น เบอร์เกอร์เนื้อแกะ เบอร์เกอร์มังสวิรัติ ที่ขายในอินเดีย นอกจากนี้ Jollibee ยังมีเมนูให้เลือกหลากหลายมากกว่าคู่แข่ง ทั้งเบอร์เกอร์ ข้าว ไก่ทอด สปาเก็ตตี้ ขนมหวาน เมนูอาหารเช้า และเมนูสำหรับเด็ก รวมถึงให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก เนื่องจากวัฒนธรรมของคนฟิลิปปินส์นิยมรับประทานอาหารร่วมกันทั้งครอบครัว Jollibee จึงสร้างบรรยากาศของร้านให้เป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัว มีเครื่องเล่นสำหรับเด็ก บริการจัดงานวันเกิด ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า Jollibee เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นอกจากนี้ Jollibee ยังมีมูลนิธิจัดทำโครงการต่างๆเพื่อช่วยเหลือสังคม และด้วยความที่ Jollibee เป็นร้านอาหารแบรนด์ท้องถิ่น ซึ่งเจ้าของ และผู้บริหารล้วนเป็นคนฟิลิปปินส์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความผูกพันระหว่าง Jollibee และลูกค้าตลอดมา จึงไม่น่าแปลกใจที่ Jollibee จะสามารถเติบโตแข่งกับแบรนด์ต่างชาติได้

อย่างไรก็ตาม ฟิลิปปินส์มีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อรับผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยใช้จุดแข็งด้านภาษา อีกทั้งอัตราการว่างงาน 7% ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียน รวมถึงปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้คนฟิลิปปินส์ส่วนหนึ่งต้องดิ้นรนไปทำงานในต่างประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ปัจจุบันมีแรงงานฟิลิปปินส์ที่ทำงานในต่างประเทศราว 10 ล้านคน หรือคิดเป็น 25% ของกำลังแรงงานรวมในประเทศ และสามารถส่งเงินกลับมาเกือบ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2012
ทั้งนี้ สิ่งที่ขึ้นชื่อของฟิลิปปินส์ คือ การผลิตพยาบาลส่งออกไปทำงานยังต่างประเทศ ซึ่งฟิลิปปินส์มีโรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรพยาบาลวิชาชีพกว่า 300 แห่ง โดยในปี 2011 มีการจ้างงานพยาบาลฟิลิปปินส์ในต่างประเทศเกือบ 2 หมื่นอัตรา เพิ่มขึ้นกว่า 40% จากปีก่อนหน้า จากปัจจัยสนับสนุนของกระแส aging society รวมถึงรายได้ที่จูงใจ เช่น พยาบาลฟิลิปปินส์ในสหรัฐฯ ได้ค่าจ้างสูงกว่าในฟิลิปปินส์ถึง 13 เท่า
นอกจากนี้ ครูสอนภาษาอังกฤษชาวฟิลิปปินส์ก็เป็นที่ต้องการของตลาด เช่นในเมืองไทย ครูฟิลิปปินส์มีสัดส่วน 25% ของครูต่างชาติทั้งหมด เพราะนอกจากสำเนียงจะใกล้เคียงคนอเมริกันแล้ว อัตราค่าจ้างยังถูกกว่าครูเจ้าของภาษาชาวตะวันตกถึง 2 เท่า ส่วนอาชีพแม่บ้าน คนเลี้ยงดูเด็ก ก็มีความต้องการมากขึ้นในประเทศที่มีรายได้สูง ปัจจุบันมีแม่บ้านฟิลิปปินส์กว่า 1 ล้านคนทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินเดือนขั้นต่ำของแม่บ้านที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน และในอนาคตคาดว่าจะมีการส่งออกแม่บ้านไปยังยุโรปเพิ่มขึ้น เพราะมีการจ่ายค่าจ้างให้สูง และสวัสดิการดีกว่าภูมิภาคอื่น

ด้านภาคการผลิตที่สำคัญคือ ธุรกิจเหมืองแร่ เพราะฟิลิปปินส์มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก แต่ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรมากเป็นอันดับ 5 ของโลก เนื่องจากตั้งอยู่ในบริเวณเขตภูเขาไฟจึงมีแร่ธาตุจำนวนมาก ทั้งทองคำ ทองแดง นิกเกิล โครเมียม โดยฟิลิปปินส์ติด 1 ใน 10 ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก รวมถึงยังมีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในฟิลิปปินส์ยังค่อนข้างช้า และนำทรัพยากรแร่ธาตุมาใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ซึ่งมีการประเมินว่าแร่ธาตุที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาจากใต้ดินมีมูลค่าสูงถึง 8.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในฟิลิปปินส์จึงยังต้องการการพัฒนาอยู่มาก เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง ผู้ประกอบการขาดแคลนเงินทุน และโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ดีพอ รัฐบาลจึงแก้ปัญหาโดยเปิดเสรีให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในกิจการเหมืองแร่ตลอดสายการผลิตได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด

แต่การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศยังค่อนข้างต่ำ เพราะมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบที่ยุ่งยากซับซ้อน ฟิลิปปินส์ถูกจัดอันดับ Ease of doing business ปี 2013 ที่ 138 จาก 145 ประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจที่การไหลเข้าของ FDI มายังฟิลิปปินส์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2006 ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์มีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในปี 2011 จำนวน 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือได้ว่าค่อนข้างน้อย หรือคิดเป็น 20% ของ FDI ในประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งการเริ่มต้นทำธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สิน การจ่ายภาษี มีขั้นตอนยุ่งยากและใช้เวลานาน นับว่าเป็นอุปสรรคที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ ยังมีปัญหาคอร์รัปชั่น และระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์ เตรียมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้โครงการ PPP เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รายงาน Global Competitiveness ปี 2012-2013 โดย World Economic Forum ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของฟิลิปปินส์ไว้ที่ 65 จาก 144 ประเทศ (ไทยอยู่ที่อันดับ 38) ซึ่งปัญหาที่สำคัญ คือ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังมีไม่เพียงพอ และไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร โดยรายจ่ายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของฟิลิปปินส์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.8% ของ GDP เท่านั้น ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ระดับ 5% จากจุดอ่อนดังกล่าวทำให้รัฐบาลจัดตั้งโครงการลงทุนภาครัฐร่วมกับเอกชน (Public Private Partnership: PPP) ในแผนพัฒนาปี 2011-2016 เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ทัดเทียมกับประเทศในอาเซียน และเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันโครงการ PPP ที่อยู่ในแผนมีจำนวน 22 โครงการ ซึ่งจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งเป็นหลัก ในปี 2012 รัฐบาลได้จัดงบประมาณลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไว้ที่ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 10% ของงบประมาณทั้งหมด และจะเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2013

นักลงทุนไทยควรมองโอกาสขยายธุรกิจเพื่อการบริโภค และใช้ประโยชน์จากแรงงานฟิลิปปินส์ เนื่องจากฟิลิปปินส์มีตลาดค่อนข้างใหญ่ การลงทุนหรือทำการค้าในอุตสาหกรรมอาหาร และการอุปโภคบริโภคในประเทศจึงยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก อีกทั้งรายจ่ายลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์ จะเป็นโอกาสให้ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง เข้าไปขยายตลาดในฟิลิปปินส์ได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะยิ่งทำให้แรงงานฟิลิปปินส์มีแนวโน้มเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น ดังนั้น ธุรกิจด้านสุขภาพอย่างโรงพยาบาล ศูนย์ดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ และสถานศึกษา มีโอกาสจ้างพยาบาล ครูสอนภาษาอังกฤษ ชาวฟิลิปปินส์มาทำงานได้สูงขึ้น และเป็นโอกาสของธุรกิจ Agent รับจัดหาแรงงานฟิลิปปินส์อีกด้วย


ทั้งนี้ การเข้าไปลงทุนในฟิลิปปินส์ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ให้รอบคอบ เพราะการทำธุรกิจในฟิลิปปินส์ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เพียงพอ ปัญหาคอร์รัปชั่น และระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยสนับสนุนการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน 

Key takeaways:

  • ภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะธุรกิจ Business Process Outsourcing อย่าง call center มีการเติบโตสูง
  • จากจุดแข็งด้านภาษา ทำให้แรงงานฟิลิปปินส์เป็นที่ต้องการของตลาดมาก โดยเฉพาะพยาบาล และครูสอนภาษาอังกฤษ ดังนั้น ธุรกิจด้านสุขภาพ และการศึกษา อาจใช้ประโยชน์จากแรงงานเหล่านี้ ซึ่งมีแนวโน้มเข้ามาทำงานมากขึ้นเมื่อมีการเปิด AEC แล้ว
  • ฟิลิปปินส์มีตลาดขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจเพื่อการบริโภคในประเทศมีโอกาสเติบตัวสูงขึ้น เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ขายอาหาร ส่วนการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในฟิลิปปินส์จะเป็นโอกาสให้ธุรกิจก่อสร้าง หรือการค้าวัสดุก่อสร้าง เข้าไปขยายตลาดได้

ท่านสามารถศึกษาข้อมูลทั่วไปได้โดยดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็ม

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ