SHARE
SCB EIC ARTICLE
17 กันยายน 2009

Fiscal Budget

ดุลงบประมาณ

ผู้เขียน:  พรเทพ ชูพันธุ์ (pornthep.jubhandhu@scb.co.th)

 469105611.jpg

Fiscal Budget (ดุลงบประมาณ)   

... นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คาดว่าผลการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2553 จะสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ 1.35 ล้านล้านบาท เนื่องจากการเก็บภาษีของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากรเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวใน 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยการเก็บภาษีจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2552 จะส่งผลดีกับการใช้จ่ายงบประมาณปี 2553 ที่มีรายจ่าย 1.7 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 3.5 แสนล้าน เพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง ...

ที่มา : Website นสพ ข่าวหุ้น (3 ก.ย. 2552)

ช่วงที่ผ่านมาหลายท่านคงจะได้ยินคำว่า งบประมาณขาดดุล (Budget deficit) ผ่านทางสื่อต่างๆ อยู่บ่อยๆ โดยมักได้ยินคำนี้ควบคู่ไปกับคำว่า กระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้เราจะมาดูกันว่างบประมาณขาดดุลเกิดจากอะไร กระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร มีเพดานหรือไม่ แล้วทำไม แม้รัฐจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นก็อาจไม่มีแรงกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก

ดุลงบประมาณคืออะไร?
 
ตอบสั้นๆ ก็คือผลต่างระหว่างรายได้และรายจ่ายของรัฐบาล ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่ายก็จะเรียกว่า งบประมาณขาดดุล ถ้ารายได้เท่ากับรายจ่ายก็จะเรียกว่า งบประมาณสมดุล

รายได้ของรัฐมาจากไหน? 
รายได้ของรัฐส่วนใหญ่เกือบ 90% นั้นมาจากภาษีอากร ที่จัดเก็บโดย 3 กรมหลักตามที่คุณกรณ์กล่าวถึงในพาดหัวข่าวข้างต้น ซึ้งก็ได้แก่ กรมสรรพากร 65-70% (เช่น ภาษีเงินได้) กรมสรรพสามิต 15-17% (เช่นภาษีน้ำมัน เหล้า รถยนต์) และกรมศุลกากร 5% (เช่น อากรขาเข้า) ปรกติ รายได้ของรัฐจะเพิ่มขึ้นทุกปีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ยกเว้นปีล่าสุดที่เศรษฐกิจหดตัว ทำให้รัฐเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า


รัฐวางแผนการใช้รายได้อย่างไร?

ทุกปีรัฐต้องวางแผนว่าจะเอารายได้ไปตั้งเป็นงบประมาณสำหรับใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งโครงสร้างงบประมาณจะแบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่ งบประจำ งบลงทุน และ งบคืนต้นเงินกู้ ซึ่งการวางแผนก็เริ่มจากการประมาณการณ์รายได้ที่คาดว่าจะได้จากภาษี แล้วกันรายได้ส่วนแรกไว้สำหรับงบประจำก่อน เพราะเป็นงบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องจ่ายเป็นประจำทุกปี เช่นเงินเดือนข้าราชการ ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมไปถึงงบจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ หลังจากนั้นจึงจัดแบ่งรายได้ส่วนที่เหลือเป็นงบลงทุน (เช่นสร้างถนน อาคารราชการ ซื้อครุภัณฑ์) และคืนต้นเงินกู้  จากโครงสร้างงบประมาณดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเราจะไม่มีงบประมาณเกินดุล เพราะอย่างน้อยๆ งบทั้งสามส่วนจะใช้เงินรายได้หมดไปพอดี  คือถ้าลงทุนไม่หมดก็ใช้คืนต้นเงินกู้ไปแทน 


ทำไมรัฐต้องขาดดุลงบประมาณ?

ในบางปีที่เศรษฐกิจชะลอตัว (อย่างในช่วงที่ผ่านมา) ทำให้ภาคธุรกิจเอกชนชะลอการลงทุน เพราะไม่มีเงิน ไม่มั่นใจ หรือกลัวขาดทุน  ถ้าภาครัฐไม่ทำอะไรอาจเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง คนตกงาน ประชาชนเดือดร้อน รายได้จากภาษีหดหาย ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเพิ่มบทบาทในการเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยใช้จ่ายเงินมากกว่าภาษีที่เก็บได้ (ตั้งงบประมาณขาดดุล) โดยรัฐต้องกู้เงินส่วนที่ขาดไปมาใช้จ่ายไปก่อน โดยหวังว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว รัฐจะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นและมีเงินมาใช้หนี้ที่ก่อไว้ได้


การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการขาดดุลงบประมาณ ทำมากแค่ไหนก็ได้หรือเปล่า?

ตอบว่า ไม่ได้ เพราะมีกฏหมายกำหนดเพดานเอาไว้  ทั้งนี้ พรบ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 21 กำหนดไว้ว่า การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ในปีหนึ่งๆ ให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทได้ไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีรวมกับอีก 80% ของงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น สรุปก็คือไม่ให้กู้มากเกินไปหรือมองในแง่ของการตั้งงบประมาณก็คือไม่ให้ตั้งงบขาดดุลมากเกินไป 


งบประมาณปี 2553 ที่คาดว่าจะขาดดุล 3.5 แสนล้านใกล้ชนเพดานหรือยัง?
  

จากข่าวข้างต้น รัฐคาดว่าจะมีรายได้ 1.35 ล้านล้านบาทและกำหนดงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 1.70 ล้านล้านบาท ซึ่งรายจ่ายดังกล่าวได้รวมงบคืนเงินต้นเงินกู้ ราว 5 หมื่นล้านบาทไว้ด้วย (ข้อมูลจากสำนักงบประมาณ) ซึ่งคำนวนตัวเลขเพดานการขาดดุลได้จาก (20% x 1.7 ล้านๆ) +  (80% x 5 หมื่นล้าน) เท่ากับราวๆ 3.4+0.4  = 3.8 แสนล้านบาท ซึ่งแปลว่าการขาดดุลงบประมาณในปี 2553 ที่ตั้งไว้ 3.5 แสนล้านบาทนั้น ใกล้ชนเพดานแล้ว ดังนั้น ถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้นรัฐอาจเหลือแรงกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกไม่มากนัก

ขาดดุล 3.5 แสนล้าน จะกระตุ้นเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน? 

ในการดูว่าการขาดดุลมีแรงกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน คนส่วนมากมักดูแค่ตัวเลขขาดดุลงบประมาณ (Budget deficit) ว่าเป็นร้อยละเท่าไรของ GDP เช่นงบประจำปี 2553 ขาดดุล 3.5 แสนล้านบาทคิดเป็น 3.8% ของ GDP ฟังดูก็ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่ามีบางส่วนของงบประมาณประจำปีที่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าไร นั่นก็คือ งบคืนต้นเงินกู้ 5 หมื่นล้านบาท และงบจ่ายดอกเบี้ยซึ่งกำหนดไว้ 1.6 แสนล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงบประมาณ) ดังนั้นเวลาดูแรงกระตุ้นเศรษฐกิจต้องหักงบส่วนใช้หนี้ใช้ดอกดังกล่าวออกไป และเรียกตัวเลข deficit ใหม่ว่า Primary deficit (รูปที่ 1) ที่วัดการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการขาดดุลได้ชัดเจนกว่า ในที่นี้ พบว่า Primary deficit เหลืออยู่เพียง 1.4 แสนล้านบาท  หรือ 1.5% ของ GDP เท่านั้น 

ในอนาคตแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจากการขาดดุลงบประมาณจะถูกภาระหนี้เบียดบังมากขึ้น
 
จากรูปที่ 1 จะเห็นว่า จากการขาดดุลงบประมาณที่สูงเกือบชนเพดานดังกล่าว กว่าครึ่งจะหมดไปกับการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งไม่น่าจะลดลงง่ายๆ เพราะรัฐมีแนวโน้มจะก่อหนี้มากขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทำให้ในอนาคต แม้รัฐจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ก็อาจไม่มีแรงกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก ดังนั้น การก่อหนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนี้ รัฐต้องนำไปใช้อย่างรอบคอบจริงๆ เพราะหนี้ที่ก่อขึ้นจะส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐหมดแรงลงเรื่อยๆ ในระยะยาว

1066_20100721133703.jpg

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ