SHARE
SCB EIC BRIEF
14 พฤศจิกายน 2025

Longevity economy … พลังเศรษฐกิจแห่งอนาคตที่ต้องจับตา

Longevity Economy ไม่ได้หมายถึงโลกของผู้สูงวัยเท่านั้น แต่คือยุคที่ “ความยืนยาวของชีวิต” กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจ

Longevity economy คืออะไร

Longevity economy หรือ เศรษฐกิจอายุวัฒน์ หมายถึง รูปแบบและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกขับเคลื่อนโดยกำลังซื้อของกลุ่มประชากรซึ่งมีอายุยืนยาวขึ้นและมีสุขภาวะที่ดี ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างประชากรโลกสู่สังคมสูงอายุ คือหนึ่งในแรงผลักสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของความต้องการสินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและยืนยาวของคนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพตนเอง ธุรกิจที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เช่น Smart home, Senior living หรือ Rehab residence ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ และสินค้าไฮเทคที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์และอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ขณะที่ในส่วนของภาครัฐ ก็ต้องมีการวางยุทธศาสตร์ชาติด้วยการออกแบบนโยบายและจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและออกแบบเมืองที่เป็นมิตรกับคนสูงวัยมากขึ้น หรือการปรับกฎหมายแรงงานและระบบสวัสดิการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจอายุวัฒน์ เป็นต้น

UN คาดปี 2050 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเกิน 2,100 ล้านคน

ข้อมูลของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าในปี 2050 หรืออีกราว 25 ปีต่อจากนี้ โลกของเราจะมีจำนวนผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากถึงกว่า 2,100 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึงราว 1 ใน 4 ของประชากรโลก อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของโลกที่กลุ่มประชากรผู้สูงอายุจะมีจำนวนแซงหน้าประชากรในวัยหนุ่มสาว หรือ Youth population (ประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี) ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวกำลังกลายเป็นสถิติใหม่ด้านโครงสร้างประชากรและปรากฏการณ์ระดับโลกที่ต้องจับตามอง อีกทั้งยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่า “โลกใบนี้กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว” แต่ในทางกลับกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ก็กำลังส่งเสียงสะท้อนบอกเราว่า ประชากรสูงวัยที่เพิ่มจำนวนขึ้นกำลังจะกลายเป็นขุมพลังใหม่ของเศรษฐกิจโลกที่เราไม่อาจมองข้ามได้เช่นเดียวกัน

ญี่ปุ่น คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของรูปแบบเศรษฐกิจที่ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนที่มีอายุยืนยาว สะท้อนได้จากการเติบโตขึ้นของโมเดลธุรกิจทั้งด้านสินค้าและบริการที่คำนึงถึงอายุของผู้บริโภค (Age-inclusive design) และตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งยังมีนโยบายและสวัสดิการภาครัฐที่ถูกออกแบบเพื่อรองรับการดำเนินชีวิตของคนกลุ่มนี้อีกด้วย เช่น ระบบประกันการดูแลสุขภาพระยะยาว ซึ่งจะครอบคลุมการดูแลสุขภาพทั้งที่บ้านและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ จนทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เป็นฐานตลาดประกันสุขภาพที่มีขนาดใหญ่ของประเทศ หรือแม้แต่การออกแบบเครื่องมือทางการเงินที่มีชื่อว่า “Reverse 60” ซึ่งเป็นบริการสินเชื่อ Reverse mortgage สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยจะใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันเพื่อเปลี่ยนมูลค่าบ้านเป็นเงินใช้จ่ายระหว่างที่ยังอยู่อาศัยในบ้านเดิม โดยสามารถเลือกรับเงินเป็นรายเดือนหรือเงินก้อนก็ได้ ซึ่งโดยทั่วไปผู้กู้จะจ่ายเฉพาะ “ดอกเบี้ยรายเดือน” ส่วนเงินต้นจะชำระรวบยอดในภายหลังเมื่อผู้กู้เสียชีวิต ย้ายออก หรือขายบ้าน โดยพบว่าสินเชื่อประเภทนี้กำลังได้รับความนิยมสูงมากในญี่ปุ่น สะท้อนถึงอุปสงค์ด้านสภาพคล่องและการปรับโครงสร้างทรัพย์สินของสังคมสูงวัย หรืออีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่น คืออุตสาหกรรมผลิตหุ่นยนต์ที่ช่วยพยุง เคลื่อนย้าย และทำกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วย ซึ่งปัจจุบันหุ่นยนต์ประเภทนี้ได้ถูกนำไปใช้งานจริงในสถานดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลหลายแห่ง จนกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งท่ามกลางโครงสร้างสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-aged society) และปัญหาขาดแคลนแรงงานในญี่ปุ่นที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ

นอกจากนี้ ในอีกหลายประเทศยังมีโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ผุดขึ้นมารองรับ Longevity economy มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริการ “Nurse-on-demand” แบบรายชั่วโมง, แพลตฟอร์มจับคู่นักกายภาพ/นักกิจกรรมบำบัดกับผู้สูงอายุ, โมเดล Co-living สำหรับลูกบ้านวัย 60+ รวมถึงแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวแบบพักฟื้น หรือ Medical & Rehab Tourism ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพสูงและสามารถยกระดับเป็นแพลตฟอร์มครบวงจรได้ไม่ยาก เนื่องจากไทยมีจุดแข็งหลายด้าน ทั้งแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่หลากหลาย ทุนวัฒนธรรมที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ มาตรฐานทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมทั้งยังได้รับแรงหนุนจากยุทธศาสตร์ในการมุ่งสู่การเป็น Medical hub ของไทยอีกด้วย

นอกจากสังคมสูงวัยจะเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในฝั่งอุปสงค์แล้ว กลุ่มแรงงานสูงอายุยังกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทและเป็นพลังขับเคลื่อนอุปทานในตลาดแรงงานอีกด้วย โดยพบว่าปัจจุบัน หลายประเทศได้มีการขยายอายุเกษียณอย่างเป็นทางการไว้ในช่วงอายุระหว่าง 62-65 ปี (อ้างอิงจากระเบียบการเบิกสวัสดิการเกษียณอายุของรัฐบาลในแต่ละประเทศ) ซึ่งถือเป็นอายุเกษียณเฉลี่ยที่สูงขึ้นจากในอดีตซึ่งอยู่ที่ 60-62 ปี ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ ซึ่งมีการกำหนดอายุเกษียณเพิ่มขึ้นจาก 66 ปี เป็น 67 ปี ในปี 2027 หรือในกรณีของไอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ที่พบว่าปัจจุบันทั้งสองประเทศมีการกำหนดอายุเกษียณอยู่ที่ 66 ปี และ 65/64 ปี (ชาย/หญิง) ตามลำดับ และมีแผนจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 68 ปี ในปี 2028 และปี 2037 เช่นเดียวกัน ขณะที่ญี่ปุ่นเองก็มีกฎหมายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ เพื่อเปิดโอกาสให้มีระบบการจ้างงานต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 70 ปี โดยพบว่าปัจจุบันราว 40% ของบริษัทเอกชนในญี่ปุ่นมีนโยบายการจ้างงานในลักษณะนี้ ซึ่งสะท้อนว่าการจ้างงานผู้สูงอายุกำลังกลายเป็นกระแสหลักในญี่ปุ่นไปแล้ว ขณะที่ในส่วนของประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันจะยังคงกำหนดอายุเกษียณราชการไว้ที่ 60 ปี แต่ภาครัฐก็มีแผนต่ออายุเกษียณเป็น 65 ปี ภายในปี 2032 เพื่อเตรียมรองรับปัญหาคนวัยเกษียณว่างงานที่กำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคตอันใกล้ ยิ่งไปกว่านั้น การขยายอายุการจ้างงาน ยังจะมีส่วนช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในการดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง

Longevity Economy ไม่ได้หมายถึงโลกของผู้สูงวัยเท่านั้น แต่คือยุคที่ “ความยืนยาวของชีวิต” กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์ที่ “โลกกำลังแก่ตัวลง” ดังนั้น โจทย์ใหญ่สำหรับทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ คือการเปลี่ยนให้ Longer health span กลายเป็น New growth engine เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและรองรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพสำหรับคนทุกช่วงวัยอย่างแท้จริง

เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองข้ามชอต วันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2025


ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ