ตลาดแรงงานไทยเปราะบางมากขึ้น แรงงานต้องเร่งปรับตัวรับมือความเสี่ยงรอบด้าน
ตลาดแรงงานไทยส่งสัญญาณเปราะบางมากขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
นับจากช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ตลาดแรงงานไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนภาพรวมของตลาดแรงงานที่เหมือนจะกลับมาเป็นปกติแล้ว โดยอัตราการว่างงานที่เป็นหนึ่งในเครื่องชี้บอกความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานได้ทยอยฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19 จากจุดสูงสุดที่ 2.25% ณ Q3/2564 เหลือเพียง 0.7% ในช่วง 2 เดือนแรกของ Q3/2568 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนโควิด-19 ที่ 1% แล้ว หากเจาะลึกลงไปกลับพบว่า ตลาดแรงงานไทยส่งสัญญาณเปราะบางมากขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ความท้าทายภายในประเทศมาจากเศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่อง ภาคการผลิตยังฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งมีแผนปรับลดพนักงานมากขึ้น ส่งผลให้แรงงานต้องออกจากงานปัจจุบัน หรือแรงงานอายุน้อยที่เพิ่งเรียนจบจะหางานทำได้ยากขึ้น สำหรับความท้าทายภายนอกประเทศมาจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าและความขัดแย้งชายแดนที่อาจรุนแรงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้ที่ลดลง จากต้นทุนในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าสูงขึ้น ความสามารถในการแข่งขันลดลงทั้งตลาดในและต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้ประกอบการอาจลดการจ้างงาน หรือลดชั่วโมงการทำงานของแรงงานเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินกิจการ
ผู้ประกอบการกว่า 1 ใน 4 ลดคนในปี 2567 สูงขึ้นมากจากอดีต เทรนด์นี้จะแรงขึ้นอีก
จากการสำรวจผู้ประกอบการกว่า 702 ราย ของ Jobsdb by seek พบว่า ผู้ประกอบการกว่า 25% ในปี 2567 ลดจำนวนพนักงานลงทั้งพนักงานประจำและสัญญาจ้างชั่วคราว และปรับลดลงในทุกรูปแบบ ทั้งในรูปแบบเลิกจ้าง หรือไม่จ้างงานทดแทนตำแหน่งที่มีพนักงานลาออกไป เพื่อลดต้นทุนและปรับองค์กรให้มีความคล่องตัวพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยตำแหน่งงานที่ลดพนักงานประจำแบบเต็มเวลามากที่สุด ได้แก่ บัญชี ธุรการและทรัพยากรบุคคล บริการลูกค้า งานการผลิต งานขาย/พัฒนาธุรกิจ และไอที
รูปที่ 1 : ผู้ประกอบการมีแนวโน้มลดการจ้างงานมากขึ้น
ที่มา : รายงานการจ้างงานผลตอบแทนและสวัสดิการประจำปี 2568 (Jobsdb, 2025)
เทรนด์การลดคนของผู้ประกอบการเริ่มชัดเจนขึ้นจากภาคการผลิตที่ฟื้นตัวช้า เศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่อง อีกทั้ง ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของธุรกิจในกลุ่มเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางพารา สิ่งทอ อาหารทะเล (กุ้ง) และยานยนต์ และธุรกิจในกลุ่มเสี่ยงปานกลาง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง น้ำตาล ปาล์มน้ำมัน อาหารสัตว์เลี้ยง ยานยนต์เชิงพาณิชย์ เหล็ก ขนส่ง และโลจิสติกส์
อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม และอัตราการว่างงานของแรงงานอายุน้อยเร่งตัวต่อเนื่อง
อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม ม.33 หรือ ม.38[1] สูงขึ้นต่อเนื่องจากต้นปี 2568 อยู่ที่ 2.16% ในช่วง 2 เดือนแรกของ Q3/2568 จากจุดสูงสุดที่ 4.4% ณ Q3/2563 อีกทั้ง อัตราการว่างงานของแรงงานอายุน้อย (อายุ 15-24 ปี) ปรับสูงขึ้นอยู่ที่ 5.9% ใน Q2/2568 สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2566 และอัตราการว่างงานแรงงานอายุน้อยที่เรียนจบปริญญาตรีขึ้นไปสูงขึ้นอยู่ที่ 18.9% เร่งตัวจาก 16.1% ใน Q1/2568 แม้อัตราการว่างงานในภาพรวมของไทยจะทรงตัวในระดับต่ำกว่า 1% นานหลายปี แต่ตัวเลขการว่างงานบางกลุ่มที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางมากขึ้นของตลาดแรงงานไทย แรงงานใหม่จะเริ่มหางานได้ยากขึ้น
ข้อเท็จจริงนี้สอดคล้องกับงานศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ใน Q4/2567 พบว่า จากประกาศรับสมัครงานออนไลน์ 23 เว็บไซต์ รวม 221,339 ตำแหน่ง มีเพียง 1 ใน 5 ของตำแหน่งงานทั้งหมด หรือราว 22% เป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงาน และมากกว่า 63% ต้องการผู้มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน
รูปที่ 2 : อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม และอัตราการว่างงานแรงงานอายุน้อยเร่งตัวต่อเนื่อง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ, สำนักงานประกันสังคม และ CEIC
กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแรง รายได้ครัวเรือนหดตัวครั้งแรกในช่วงครึ่งแรกของปี 2568
รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ลดลง 4.6%YOY จาก 29,502 บาท/เดือนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เหลือเพียง 28,151 บาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ประเภทของรายได้ครัวเรือนที่ลดลงมากพบว่า เป็นรายได้จากการทำงาน ซึ่งลดลงถึง 5.7%YOY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงงานบางส่วนหันไปประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่แน่นอนมากขึ้นนับตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 สัดส่วนแรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้น (ในปี 2567 สัดส่วนเพิ่มเป็น 52.8%) นอกจากนี้ ไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ปี 2567 (สัดส่วนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปต่อประชากรสูงขึ้นเป็น 20.8% สูงกว่าเกณฑ์ 20% ตามนิยามของสหประชาชาติ) ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างของตลาดแรงงาน รายได้และค่าใช้จ่ายของแรงงานในระยะข้างหน้า
“กลยุทธ์ 3 ปรับ” ของแรงงานไทย ให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน
แรงงานไทยจะต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัว ทั้งจากปัญหาภายในและปัญหาจากภายนอกให้สามารถรับมือความเสี่ยงข้างหน้าได้ด้วย “กลยุทธ์ 3 ปรับ” คือ
(1) “ปรับทักษะ” มีมุมมองเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) มุ่งเรียนรู้ทักษะใหม่ ใช้เทคโนโลยีเป็น (เช่น ดิจิทัล AI) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อมีทักษะใหม่พร้อมใช้ตามความต้องการของตลาดแรงงาน
(2) “ปรับทัศนคติการเงิน” มีความยืดหยุ่นทางการเงิน (Financial resilience) จัดการบัญชีรายรับรายจ่าย สร้างรายได้หลายทาง มีวินัยการออมและชำระหนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน
(3) “ปรับตัวทันโลก” ตามเทรนด์โลกและรูปแบบการทำงานใหม่ (Adaptability) ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เปิดรับรูปแบบการทำงานและค่านิยมใหม่ จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน และเปิดใจรับโอกาสใหม่ เพื่อให้อยู่รอดได้ในตลาดแรงงานยุคใหม่
เผยแพร่ใน Thairath money วันที่ 8 พฤศจิกายน 2025
[1] อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม ม.33 หรือ ม.38 คือ สัดส่วนผู้ประกันตน ม.33 หรือ ม.38 ที่ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานต่อจำนวนผู้ประกันตน ม.33 หรือ ม.38 ทั้งหมด (ม.33 คือ ผู้ประกันตนภาคบังคับ หรือลูกจ้างเอกชนที่ทำงานกับนายจ้างทั่วไป ซึ่งเป็นมาตราหลักของระบบประกันสังคม และ ม.38 เป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกันตน ม.33 สิ้นสภาพลูกจ้าง แต่ยังได้รับความคุ้มครองจากประกันสังคมนาน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ออกจากงาน ในช่วงนี้จะยังคงได้สิทธิประโยชน์บางอย่าง เช่น รักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้จากการเจ็บป่วย)