SHARE
SCB EIC ARTICLE
16 กรกฏาคม 2009

Micro Finance

ไมโครไฟแนนซ์ (Micro Finance) หรือ ไมโครเครดิต

ผู้เขียน:  โสภณ วิจิตรเมธาวณิชย์

 78160637.jpg

ไมโครไฟแนนซ์ (Micro Finance) หรือ ไมโครเครดิต

ไมโครเครดิตคืออะไร

ไมโครเครดิต คือ การขยายเงินกู้จำนวนเล็ก ๆ (เงินกู้ขาดเล็ก) ให้แก่คนที่ไม่มีงานทำ ผู้ประกอบการที่เป็นคนจน คนที่สังคมรังเกียจ และ ผู้ที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของธนาคารได้ ซึ่งคนเหล่านั้นจะขาดแคลนในเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกัน ความมั่นคงของงาน และประวัติการเงิน เนื่องด้วยคุณสมบัติที่ต่ำดั งนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินกู้ทั่วไปได้ ไมโครเครดิตเป็นส่วนหนึ่งของไมโครไฟแนนซ์ เพราะเป็นระบบการเงินที่บริการอย่างกว้างขวาง นอกจากจะให้เงินกู้ แก่คนจนแล้ว ยังบริการด้านอื่น ๆ อีก เช่น ประกันภัย และการออมเงิน

ไมโครเครดิตนั้นได้เริ่มขึ้นครั้งแรกในประเทศบังกลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่คนจนประสบความสำเร็จ ที่ใช้เงินกู้ขนาดเล็กขยายกิจการธุรกิจขนาดเล็กและเสริมรายได้ และในอีกหลายกรณีที่พวกเขาประสบความสำเร็จ เช่น เริ่มมีฐานะที่มั่นคง และหลุดพ้นจากความจน

แนวความคิดของไมโครเครดิตกลายเป็นที่รู้จักมากในการเปิดเผยขององค์กรสหประชาชาติ ปี 2005 ซึ่งได้จัดเป็นปีสากลแห่งไมโครเครดิต และในปี 2006 ดร.ยูนูส และองค์กรของเขาที่ทำงานกับคนจนจึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด้วย

สถาบันไมโครไฟแนนซ์ (MFI) คือ อะไร
สถาบันไมโครไฟแนนซ์ คือสถาบันที่บริการด้านการเงินให้ประชาชนที่ยากจน ซึ่งสถาบันเหล่านี้ได้รวมถึง เอ็น จี โอ เครดิตยูเนี่ยน สหกรณ์ ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย และ สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร ( ซึ่งสถาบันเหล่านี้บางสถาบันได้เปลี่ยนจาก เอ็น จี โอ มาเป็นสถาบันการเงินกำกับ) และบางส่วนเป็นเจ้าของธนาคาร เช่น ธนาคารออมสิน และ ธนาคารการเกษตรและสหกรณ์ (ธ ก ส)

มีหน่วยงานที่เป็น เอ็น จี โอ และ มูลนิธิหลายแห่ง ในประเทศไทย ที่บริการด้านการเงิน อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่หน่วยงานเหล่านี้จะให้บริการด้านกิจกรรมการพัฒนาที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน และ หน่วยงานเหล่านี้ไม่อยากเรียกตนเองว่า เป็นสถาบันการเงิน แต่โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมไมโครเครดิตแล้ว ถ้าหน่วยงานใดที่ทำกิจกรรมหรือประกอบการเกี่ยวกับบริการด้านการเงินให้คนจนแล้ว เราจะเรียกหน่วยงานนี้ว่า สถาบันการเงิน หรือ ไอ เอ็ม เอฟ

ลูกค้าไมโครไฟแนนซ์ คือใคร
ตามแบบฉบับแล้ว ลูกค้าไมโครไฟแนซ์ คือ คนที่มีรายได้ต่ำ และไม่สามารถเข้าถึงสถานบันการเงินได้ ลูกค้าไมโครไฟแนนซ์จะเป็นนนายจ้างของตนเอง ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก ในชุมชนยากไร้ โดยทั่วไปแล้วจะทำธุรกิจการเกษตรขนาดเล็ก และอีกส่วนหนึ่งจะทำธุรกิจการค้าเล็ก ๆ เพื่อหารายได้ เช่น การประกอบอาชีพเกี่ยวกับกระบวนการทำอาหาร และ การค้าเล็กๆ สำหรับในชุมชนเมืองแล้ว กิจกรรมไมโครไฟแนนซ์ จะหลากหลายกว่าในชุมชนชนบท รวมถึงคนที่เป็นแม่ค้า ด้านการบริการ ช่าง แม่ค้าขายของตามข้างถนน ฯลฯ สรุปแล้วลูกค้าของไมโครไฟแนนซ์ คือ คนยากจน และ คนที่มีฐานะไม่มั่นคง ที่มีรายได้อยู่แล้วแต่ไม่มากและต้องการขยายธุรกิจขนาดเล็กเพื่อเสริมสร้างรายได้

ไมโครเครดิตช่วยคนจนได้อย่างไร
จากประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า ไมโครไฟแนนซ์สามารถช่วยคนจนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างธุรกิจให้พวกเขา และช่วยบรรเทาความเสี่ยงในการดำเนินชิวิตของเขา และสามารถเป็นเครื่องมือให้อำนาจกับคนจน โดยเฉพาะผู้หญิงสามารถเปลี่ยนฐานะของครอบครัวให้ดีขึ้นได้ ความจนนั้นมีหลายระดับ การบริการด้านการเงินของไมโครไฟแนนซ์ เพื่อการต่อสู้และต่อต้านความยากจน เช่น ไมโครไฟแนนซ์ ช่วยให้คนจนเสริมสร้างรายได้ในการขยายธุรกิจ และยังช่วยให้คนจนที่ไม่มีงานทำ สร้างธุรกิจของตัวเอง ทำให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องของอาหารการกิน การศึกษาของบุตรหลาน โดยเฉพาะผู้หญิงทำให้พวกเขามีความมั่นใจ และมีอำนาจในการติดต่องานกับสถาบันหรือหน่วยงานด้วยตนเอง

ทำไมสถาบันการเงินถึงคิดดอกเบี้ยเงินกู้สูงให้กับคนจน
เนื่องด้วยการบริการสินเชื่อให้กับคนจนนั้นค่อนข้างที่จะแพงเพราะค่าใช้จ่ายในการบริการเยอะ โดยเฉพาะจำนวนเงินขนาดเล็ก ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ธนาคารไม่อยากให้สินเชื่อขนาดเล็กให้คนจน 5000 บาท ตัวอย่างเช่น บุคคลคนเดียวกันต้องการสินเชื่อ 200000 บาท ซึ่งราคาต่อหน่วยก็สูงขึ้น การที่ไมโครเครดิตทำงานกับคนจนในชนบทนั้น ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้นอีกเพราะการต้องเดินทางไปหาลูกค้า สถาบันไมโครไฟแนนซ์คิดดอกเบี้ยเงินกู้สูงให้กับคนจนเพื่อที่จะบริหารงานให้อยู่ตัวได้เพื่อที่จะให้สินเชื่อเพิ่มและบริการแก่คนจนนั้นดำเนินต่อไป แต่อย่างไรก็ตามการทำงานของสถาบันการเงินนั้นขึ้นอยู่กับความมั่นคงของเงินทุน ซึ่งโครงการที่ให้เงินกู้แก่คนจนมีการถกเถียงกันบ่อยครั้งเกี่ยวกับระดับดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่จะคงระดับดอกเบี้ยไว้ การให้ดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไปให้คนจนก็เป็นสิ่งที่ดี แต่โครงการนั้นอาจจะไม่ดำเนินต่อไปได้ในนระยะยาว เนื่องจากค่าใช้จ่ายเยอะแล้วต้องหาทุนใหม่มาตลอด แต่ก็มีโครงการที่เติบโต โดยเฉพาะโครงการไมโครเครดิตบางโครงการที่บริการสินเชื่อดอกเบี้ยสูงแต่มีลูกค้าเยอะและสามารถดำรงโครงการต่อไป

จากหลักฐานแสดงให่เห็นว่าลูกค้าเต็มใจที่จะจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่า สิ่งที่สำคัญคือ ระยะเวลาในการให้สินเชื่อที่นานกว่า พวกเขาไม่ได้สนใจถึงแม้เงินกู้นอกระบบจะมีดอกเบี้ยสูง หรือการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ไม่ได้ ปัจจุบันเงินกู้นอกระบบนั้นดอกเบี้ยสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ต่อวันในตลาดในชุมชนเมือง การคิดดอกเบี้ยเงินกู้ของเมืองไทยนั้นจะพิจารณาและคิดต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วจะรู้สึกแปลกใจมากเพราะประเทศไทยคิดดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ปกติการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ของประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 10-20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในขณะที่ประเทศ กัมพูชาและประเทศเวียดนามดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่30-50 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งดอกเบี้ยที่รัฐบาลตั้งไว้นั้นต่ำ

ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมไมโครเครดิตคิดว่าที่รัฐบาลให้สินเชื่อและคิดดอกเบี้ยต่ำจึงทำให้เกิดผลเสีย 2 ประการ คือ    1)  กองทุนเงินกู้ของรัฐบาลบิดเบือนจากตลาดทั่วไป และมีข้อจำกัดในการเติบโตของโครงการ  และ 2) โครงการนี้เป็นจุดประสงค์และเครื่องมือของทางการเมืองที่ใช้ในการหาเสียง

รูปแบบธุรกิจ "ไมโครไฟแนนซ์" ในต่างประเทศ เป็นอย่างไร

รูปแบบแรกสุด     คือ ธนาคารพาณิชย์ตั้งเป็นฝ่ายงานหนึ่งที่ให้บริการไมโครไฟแนนซ์โดยเฉพาะ เรียกว่า "monoline unit" เป็นการให้บริการธุรกรรมง่ายๆ เน้นเรื่องบริการขั้นพื้นฐานซึ่งอาจเริ่มจากตั้งโครงการนำร่องก่อน หากสำเร็จจึงขยายเพิ่มขึ้นตั้งเป็นฝ่ายงานหนึ่งและในที่สุดอาจตั้งเป็น "บริษัทลูก" ไปร่วมทุนหรือเป็นบริษัทร่วมทุนกับผู้ให้บริการรายอื่นที่ให้บริการไมโครไฟแนนซ์อยู่แล้ว เช่น ธนาคารพาณิชย์จับมือกับเครดิตยูเนี่ยน  รูปแบบนี้จะสำเร็จต้องมีทรัพยากรเพียงพอ มีโครงสร้างการบริหารงาน และการบริการความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อที่จะสามารถดำเนินกลยุทธ์และใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มความชำนาญและลดต้นทุน

รูปแบบที่สอง     ใช้กันมากในต่างประเทศคือ การมีตัวแทนให้บริการไมโครไฟแนนซ์ลักษณะเป็น "agent banking" จะให้บริการผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ผู้ให้บริการในท้องถิ่นเป็นตัวแทนการรับชำระเงิน โอนเงิน ตัวแทนเรียกเก็บสินเชื่อซึ่งต้นทุนถูกกว่าตั้งสาขาในพื้นที่ห่างไกล  แต่รูปแบบ "agent banking" จะสำเร็จ ธนาคารพาณิชย์ต้องหาตัวแทนหรือ partner ที่มีความพร้อม สามารถให้บริการได้ในขอบเขตที่เหมาะสม ที่สำคัญต้องมีระบบดูแลตัวแทนน้อย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายหรือเสียชื่อเสียงของธนาคาร

รูปแบบที่สาม     คือ มีองค์กรไมโครไฟแนนซ์ หรือองค์กรการเงินฐานราก จะมีลักษณะคล้ายๆ เครดิตยูเนี่ยน เน้นให้บริการในชุมชนเล็กๆ รูปแบบนี้ธนาคารพาณิชย์สามารถไปร่วมมือด้วยได้ แต่จะสำเร็จได้ต้องเป็นการผสมผสานรวมจุดแข็งของทั้ง 2 แห่งเข้าไว้ คือ จุดแข็งด้านทุนของธนาคารพาณิชย์ กับความชำนาญขององค์กรการเงินฐานรากที่รู้จักและคุ้นเคยกับลูกค้าดี แต่ตองระวังเรื่องตัวแทนด้วย

รูปแบบที่สี่     การนำเทคโนโลยีสื่อสารโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือมาช่วยขยายช่องทางให้บริการ หรือ "mobile banking" ซึ่งให้บริการผ่านเครือข่ายที่สามารถกระจายได้ทั่วโลกและรองรับความปลอดภัยได้ดีซึ่งในปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านของไทยดำเนินการอยู่ รูปแบบนี้จะสำเร็จได้ธนาคารพาณิชย์หรือองค์กรการเงินฐานราก ต้องมีระบบงานรองรับการใช้เทคโนโลยี มีรูปแบบการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้งที่เหมาะสมกับผู้ให้บริการทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์และน็อนแบงก์

นอกจากนี้ ในต่างประเทศได้พัฒนาบริการไมโครไฟแนนซ์ไปสู่รูปแบบการเป็นตัวกลางในการให้การประกันแก่ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือ "microensure" ซึ่งอังกฤษเป็นแห่งแรกในโลกที่มีตัวกลางในการให้ประกันแก่ผู้มีรายได้น้อย โดยเน้นการประกันพื้นฐาน ได้แก่ การประกันชีวิต ประกันภัยประกันสุขภาพ และประกันพืชผล เป็นต้น

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ