กนง. ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่ชี้ว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากมีความจำเป็นลดลง
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 19 กันยายน 2018 คณะกรรมการมีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่ยังมองว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ขณะที่ กรรมการ 2 ท่านออกเสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% จากความกังวลด้านเสถียรภาพระบบการเงิน และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต
ผู้เขียน: วชิรวัฒน์ บานชื่น, พงศกร ศรีสกาวกุล
|
- กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน กล่าวคือ การส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่มีแรงส่งต่อเนื่อง โดย กนง. ได้คงการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2018 และ 2019 ไว้ที่ 4.4% และ 4.2% ตามลำดับ นอกจากนี้ กนง. ได้ปรับคาดการณ์การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขึ้น โดยให้การบริโภค ปี 2018 และ 2019 จาก 3.7% และ 3.6% มาอยู่ที่ 4.2% และ 3.7% ตามลำดับ และให้การลงทุนปี 2018 ไว้เท่าเดิมที่ 3.7% แต่ปรับเพิ่มประมาณการการลงทุนในปี 2019 จาก 4.4% มาอยู่ที่ 4.5%
อย่างไรก็ตาม หนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง จึงทำให้กำลังซื้อฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านต่ำและเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจประกาศเพิ่มเติมและมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ - กนง. มองอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปียังมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำจากราคาอาหารสดที่ผันผวนสูงตามสภาพภูมิอากาศและปริมาณผลผลิต ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่ประเมินไว้เดิมบ้างตามแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่ปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ กนง. ประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต แม้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้เต็มตามศักยภาพแล้วก็ตาม สำหรับคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชนโดยรวมค่อนข้างทรงตัว โดย กนง.ได้คงประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2018 ไว้เท่าเดิมที่ 1.1% และปรับประมาณการสำหรับปี 2019 ลงจาก 1.2% มาอยู่ที่ 1.1% สำหรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของปี 2019 นั้น มีการปรับลดลงจาก 0.9% มาอยู่ที่ 0.8%
- กนง. ประเมินว่าภาวะตลาดการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลาย และเห็นควรให้ติดตามภาวะการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และพฤติกรรมการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนอย่างใกล้ชิด โดยระบุว่า ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ภาคเอกชนสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้น ด้านเงินบาทแข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินสกุลภูมิภาคจากความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพด้านต่างประเทศ และเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป อย่างไรก็ดี กนง. แสดงความเป็นห่วงต่อประเด็นเสถียรภาพระบบการเงิน โดยกล่าวว่า จะติดตามภาวะการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งส่งผลให้มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลดลง และมีอุปทานคงค้างของอาคารชุดในบางพื้นที่ รวมทั้งจะติดตามพฤติกรรมการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนเนื่องจากสถานะหนี้ครัวเรือนยังไม่ดีขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ SMEs
|
|
อีไอซีคาด กนง. น่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมช่วงต้นปี 2019 หรืออย่างเร็วในช่วงการประชุมเดือนธันวาคม 2018 เพื่อดูความชัดเจนของเงินเฟ้อ
|
ตารางสรุปคำแถลงการณ์ของ ธปท. เทียบกับการประชุมครั้งก่อน
หัวข้อ |
การประชุมครั้งก่อน (8 ส.ค. 2018)
|
การประชุมครั้งนี้ (19 ก.ย. 2018) |
เศรษฐกิจไทย |
เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว รวมถึงอุปสงค์ในประเทศที่มีแรงส่งเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องตามปัจจัยสนับสนุนจากการจ้างงานที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงจึงทำให้กำลังซื้อฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่าหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากโครงการภาครัฐที่ชัดเจนมากขึ้น ด้านการใช้จ่ายภาครัฐจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สำหรับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้หลังเกิดเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวล่มที่ภูเก็ต ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ แนวโน้มการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่อาจต่ำกว่าคาด รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ |
|
สถานการณ์เงินเฟ้อ |
|
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปียังมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิมแต่ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากราคาอาหารสดที่ผันผวนสูงตามสภาพภูมิอากาศและปริมาณผลผลิต ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่ประเมินไว้เดิมบ้างตามแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่ปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป คณะกรรมการฯ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต แม้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้เต็มตามศักยภาพ อาทิ ผลกระทบจากการขยายตัว ของธุรกิจ e-commerce การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่ท่าให้ต้นทุนการผลิตลดลง ส่าหรับการคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชนโดยรวมค่อนข้างทรงตัว
|
ความเสี่ยงที่ กนง. ติดตาม |
1. นโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ รวมถึงมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ 2. แนวโน้มการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่อาจต่ำกว่าที่คาด 3. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ 4. ความสามารถชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม 5. พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) 6. ภาวะการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและอุปทานคงค้างของอาคารชุดในบางพื้น
|
1. นโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ รวมถึงมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ 2. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ 3. พฤติกรรมการก่อหนี้ของภาคครัวเรือน 4. ความสามารถชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม 5. พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) 6. ภาวะการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและอุปทานคงค้างของอาคารชุดในบางพื้น |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย |
มติ 6 ต่อ 1 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% |
มติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% |
เหตุผลของ |
|
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องตามแรงส่งจาก อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป แต่ต้องติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้อและความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะต่อไป รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯและการตอบโต้จากประเทศเศรษฐกิจสำคัญ การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะทยอยลดความจำเป็นลง
|