SHARE
IN FOCUS
13 กันยายน 2012

ธุรกิจบริการสุขภาพของไทยจะโตต่อไปอย่างไร?

การแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีการปรับตัวเพื่อบริหารต้นทุนและเพิ่มรายได้มากขึ้น จึงมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างเครือข่าย/การรวมกลุ่มและการขยายตลาดไปยังหัวเมืองมากขึ้น ในขณะที่กระแสการดูแลสุขภาพส่งผลต่อรูปแบบการให้บริการของโรงพยาบาลที่จะมุ่งตอบสนองความต้องการดูแลสุขภาพที่มากกว่าแค่การรักษาโรค รวมถึงการมุ่งสร้างจุดเด่นเพื่อขยายตลาดให้กว้างกว่าเฉพาะกลุ่มผู้อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง

ผู้เขียน:  วิธาน เจริญผล

153637257.png

การแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีการปรับตัวเพื่อบริหารต้นทุนและเพิ่มรายได้มากขึ้น จึงมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างเครือข่าย/การรวมกลุ่มและการขยายตลาดไปยังหัวเมืองมากขึ้น ในขณะที่กระแสการดูแลสุขภาพส่งผลต่อรูปแบบการให้บริการของโรงพยาบาลที่จะมุ่งตอบสนองความต้องการดูแลสุขภาพที่มากกว่าแค่การรักษาโรค รวมถึงการมุ่งสร้างจุดเด่นเพื่อขยายตลาดให้กว้างกว่าเฉพาะกลุ่มผู้อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง

อำนาจต่อรองในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จำนวนมากสร้างข้อได้เปรียบสำคัญทางธุรกิจให้โรงพยาบาลเอกชนที่มีการรวมกลุ่มหรือสร้างเครือข่าย ท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น การลดต้นทุนจะช่วยสร้างข้อได้เปรียบได้มาก ทั้งนี้ ในขณะที่ต้นทุนด้านบุคลากรโดยเฉพาะแพทย์ และค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีมีลักษณะที่ปรับลดลงได้ยาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การบริหารต้นทุนด้านยาและเวชภัณฑ์ดูเหมือนจะเป็นด้านที่ทำได้เร็วกว่า ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีการสร้างเครือข่ายและรวมกลุ่มกันจะมีข้อได้เปรียบในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ได้ด้วยราคาต่ำกว่าเนื่องจากมีอำนาจต่อรองในการซื้อครั้งละปริมาณมาก โดยพบว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านยาและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลที่มีการรวมกลุ่มต่อรายได้จากกิจการโรงพยาบาลมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 14% ในขณะที่ของกลุ่มโรงพยาบาลที่ไม่มีการรวมกลุ่มจะมีค่าดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 21% ส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของทั้งสองกลุ่มมีสัดส่วนต่อรายได้ของกิจการโรงพยาบาลใกล้เคียงกันที่ประมาณ 40% ทั้งนี้ การขยายการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายของโรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่รูปแบบที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ประเทศในภูมิภาครวมถึงประเทศคู่แข่งด้านบริการสุขภาพของไทยอย่างประเทศอินเดีย ก็ยังมีแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มธุรกิจของ Fortis Healthcare มีโรงพยาบาลในเครือข่ายเพิ่มขึ้นจาก 47 โรง = 5,180 เตียงในปี 2009 เป็น 75 โรง = 12,000 เตียงในปัจจุบัน

โรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มขยายไปตามหัวเมืองต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีจำนวนและกำลังซื้อมากขึ้น ในขณะที่ตลาดคนไข้ในกรุงเทพมหานครอาจจะขยายตัวได้ยากจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือกลุ่มโรงพยาบาลที่มีเครือข่ายและการรวมกลุ่มขนาดใหญ่อยู่แล้วอย่างกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่มีการขยายการลงทุนไปยังจังหวัดสำคัญต่างๆ มาโดยตลอดและยังมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในจังหวัดอุดรธานี ระยองและเชียงใหม่ภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งทั้งอุดรธานี และเชียงใหม่ เป็นจังหวัดที่มีผู้บริโภคในเมืองมากที่สุดใน 10 อันดับแรกถัดจากกรุงเทพฯ ในขณะที่ตลาดผู้ใช้บริการโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มอิ่มตัวโดยอัตราการครองเตียงมีแนวโน้มลดลง และธุรกิจโรงพยาบาลต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากโรงพยาบาลระดับบนซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ของคนในกรุงเทพฯ และบริการที่ดีกว่าในรูปแบบคล้ายกับโรงแรม 5 ดาว ส่งผลให้โรงพยาบาลระดับกลางลงมามีผลประกอบการสวนทางกับกลุ่มโรงพยาบาลระดับบนชัดเจน โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลระดับบนเร่งตัวจากประมาณ 9% ในปี 2008 เป็น 12% ในปี 2011 ที่ผ่านมา ในขณะที่อัตราดังกล่าวของโรงพยาบาลระดับกลางลงมามีการชะลอตัวลงจากเฉลี่ย 15% ในปี 2008 เป็นประมาณ 6% ในปี 2011 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ด้วยแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงจากการรักษาไปสู่การดูแลสุขภาพมากขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลให้โรงพยาบาลเอกชนให้ความสำคัญกับกระแสดังกล่าวมากขึ้นจากเดิมที่บริการหลักคือการรักษาอาการป่วย สิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มดังกล่าวสามารถสังเกตได้จากการที่โรงพยาบาลเอกชนต่างๆ แข่งขันกันจัดทำแพ็กเกจการบริการต่างๆ ออกมามากขึ้น โดยเฉพาะด้านการตรวจร่างกายที่มีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาด secondary healthcare ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีการใช้จ่ายสำหรับสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพมากขึ้น เช่น บริการนวด สปา อาหารเสริม เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตอาจจะเกิดความร่วมมือทางธุรกิจกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพในการขยายตลาดไปในกลุ่มดังกล่าวได้มากขึ้น เนื่องจากคำแนะนำจากแพทย์มักจะได้รับความน่าเชื่อถือจากกลุ่มผู้บริโภคมากที่สุด

รวมถึงการสร้างจุดเด่นด้านต่างๆ เพื่อที่จะขยายตลาดจากที่เดิมอาจจะจำกัดอยู่เฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ใกล้เคียง โดยปกติทั่วไปตลาดคนไข้หรือผู้ใช้บริการสุขภาพของโรงพยาบาลเอกชนจะมาจากผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นหลัก แต่การแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้โรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งต้องสร้างจุดเด่นขึ้นมาเพื่อขยายตลาดให้กว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการเน้นความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านเพื่อตอบสนองพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าที่นอกจากจะคาดหวังกับคุณภาพของบริการเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีความต้องการที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการขยายบริการการแพทย์เฉพาะทางนอกเวลาปกติมากขึ้น การมุ่งเน้นไปทางด้านเวชศาสตร์การกีฬา เป็นต้น

Implication.png

886_20100622103105.gif

  • โรงพยาบาลเอกชนที่ดำเนินการแบบบริษัทเดี่ยว ( standalone) มีแนวโน้มที่จะต้องหาพันธมิตรหรือเครือข่ายมากขึ้น หรือหาหนทางบริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ เพราะโรงพยาบาลที่มีเครือข่ายมีความได้เปรียบชัดเจนในการจัดหายาและเวชภัณฑ์ได้ในราคาที่ต่ำกว่า ทั้งนี้ ในต่างประเทศจะมีรูปแบบตัวกลางการจัดซื้อ (Group Purchasing Organization: GPOs) ที่ช่วยให้ธุรกิจที่เข้าเป็นสมาชิกสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่มีส่วนลด โดยธุรกิจเสียค่าสมาชิกแทน อย่างไรก็ตาม กลไกดังกล่าวต้องอาศัยการรวมกลุ่มด้วยสมาชิกที่มีจำนวนมากในระดับหนึ่ง
  • การเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพน่าจะมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อจับตลาด secondary healthcare ยกตัวอย่างเช่น การเชื่อมโยงหรือร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาล อุปกรณ์และแฟชั่นด้านการกีฬา ร้านค้าปลีกยาและอุปกรณ์เทคโนโลยีด้านสุขภาพ เป็นต้น

 3466_20120913143006.jpg

 

3467_20120913143031.jpg

 

3468_20120913143047.jpg

 

 

Get the additional info

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ