จับตาพิษบาทแข็ง ธุรกิจใดเสี่ยงสะดุด?

เผยแพร่ใน EIC Outlook ฉบับไตรมาส 3/2017 คลิกอ่านฉบับเต็ม 

เงินบาทที่แข็งค่ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอาจกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออก แต่จะไม่กระทบภาคการท่องเที่ยว นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2017 เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 5.4% มาอยู่ที่ 33.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง และมุมมองต่อเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าสกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ต่างมีทิศทางที่แข็งค่าขึ้น แต่หากเทียบกับประเทศอื่น เงินบาทยังคงแข็งค่ากว่าค่าเงินของสิงคโปร์ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม (อ่านเพิ่มเติมที่ สรุปแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนปี 2017)

การส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางประเภทอาจได้รับผลกระทบ หากเงินบาทแข็งค่าเป็นระยะเวลานาน จากการศึกษาพบว่าสินค้าที่ไทยส่งออกคล้ายกับกลุ่มประเทศข้างต้น และมีตลาดส่งออกหลักเดียวกัน คือ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะ ข้าวและยางพาราที่ไทยมีตลาดส่งออกหลักเดียวกันกับอินโดนีเซียและเวียดนาม รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เช่น แผงวงจรไฟฟ้า และส่วนประกอบโทรศัพท์ ที่ไทยมีตลาดส่งออกหลักเดียวกันกับจีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม (รูปที่ 16) ทั้งนี้ สินค้าที่กล่าวข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกในกลุ่มสินค้าดังกล่าวอาจไม่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่ามากนัก หากมีการทำสัญญาซื้อขายกับคู่ค้าไว้ล่วงหน้า หรือผู้ประกอบการมีความสามารถเฉพาะในการผลิตที่ประเทศคู่แข่งไม่สามารถทดแทนได้

ภาคการท่องเที่ยวจะไม่ถูกกระทบ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับเงินหยวนของจีนเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกรณีที่ภาคท่องเที่ยวเคยถูกกระทบจากปัจจัยด้านค่าเงินในปี 2015 จากเงินรูเบิลของรัสเซียที่อ่อนค่าลงกว่า 34% เมื่อเทียบกับเงินบาท ซึ่งส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียลดลง 45%

เงินบาทที่แข็งค่าเป็นระยะเวลานานอาจกระทบการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท แต่จะไม่กระทบภาคการท่องเที่ยว

สินค้าส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบ

หน่วย: %YTD การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเมื่อเทียบกับเงินบาท (+) แข็งค่ากว่าบาท (-) อ่อนค่ากว่าเงินบาท

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ BOT, Bloomberg, CEIC และ Trademap