SCB EIC ARTICLE
25 เมษายน 2016
BULL-BEAR: ราคาน้ำมัน ไตรมาส 2/2016
เผยแพร่ใน EIC Outlook ฉบับไตรมาส 2/2016
มุมมอง EIC: Bear ราคาน้ำมันดิบในใตรมาส 2 ปี 2016 มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ เนื่องจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานน้ำมันยังคงมีอยู่ โดยตลาดน้ำมันยังมีอุปทานส่วนเกินอยู่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ มีประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันสูงขึ้น ดังนั้น อุปทานน้ำมันจากสหรัฐฯ อาจไม่ลดลงมากนัก ถึงแม้ว่าจำนวนแท่นขุดเจาะจะลดลงก็ตาม นอกจากนี้ การประชุมของกลุ่ม OPEC และรัสเซีย ที่กาตาร์ ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องการตรึงปริมาณการผลิตน้ำมัน โดยอิหร่านต้องการเพิ่มการผลิตและการส่งออกน้ำมันหลังได้รับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ส่งผลทำให้มีอุปทานน้ำมันล้นตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบต่อไป |
BULLs: ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มขาขึ้น | BEARs: ราคาน้ำมันมีแนวโน้มขาลงหรือทรงตัว | |
• อุปทานน้ำมันของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันช่วงต้นปี 2016 ลดลงเหลือ 516 แท่น จากเดิมที่เคยอยู่ที่ 1,421 แท่น ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ มูลค่า capital spending ของบริษัทน้ำมันช่วงปลายปี 2015 ลดลงเหลือราว 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากที่เคยขึ้นไปแตะระดับ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯ ยื่นล้มละลายกว่า 20 บริษัท ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าช่วงเกิดวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐฯ ในปี 2009 ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์อุปทานน้ำมันในสหรัฐฯ ปี 2016 ไว้ที่ระดับ 14.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หดตัวราว 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จะเป็นปัจจัยผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น • ความต้องการน้ำมันในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ จากปัจจัยด้านความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานที่มีอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำกว่า 5% ตั้งแต่ต้นปี 2016 ส่งผลบวกต่อการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ ทั้งนี้ EIA ประเมินอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาส 2 ปี 2016 อยู่ที่ 19.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขยายตัว 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า |
• อุปทานน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ปี 2016 ยังคงล้นตลาดอยู่ราว 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นปัจจัยลบกดดันราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ EIA ประเมินอุปทานน้ำมันโลกจะปรับระดับสูงขึ้นในไตรมาส 2 สู่ระดับ 96.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่อุปสงค์มีเพียง 94.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งอุปทานน้ำมันส่วนใหญ่หรือราว 60% ของอุปทานน้ำมันโลก มาจากผู้ผลิตกลุ่ม Non-OPEC มีปริมาณถึง 57 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นราว 0.4%QOQ อย่างไรก็ตาม อุปทานน้ำมันส่วนเกินจะค่อยๆ ลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2016 เนื่องจากการชะลอการผลิตของสหรัฐฯ และอุปสงค์ที่สูงขึ้นตามเศรษฐกิจโลก • อิหร่านได้รับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเรื่องโครงการนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ และ EU เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2016 ซึ่งจะทำให้อิหร่านกลับมาผลิตน้ำมันมากขึ้นราว 6 แสน - 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่เคยส่งออกอยู่ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ อิหร่านยังยืนยันไม่เข้าร่วมกับสมาชิก OPEC ในการตรึงปริมาณการผลิตน้ำมันเพื่อรักษาระดับราคา จนกว่าอิหร่านจะผลิตน้ำมันได้มากกว่า 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน (จากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ซึ่งจะตอกย้ำอุปทานส่วนเกินในตลาดน้ำมันที่มีมากอยู่ก่อนแล้ว และกดดันราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป • การประชุมของผู้ผลิตน้ำมันกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ที่กาตาร์ ในวันที่ 17 เมษายน 2016 ล้มเหลว โดยไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องการตรึงปริมาณการผลิตน้ำมันให้เท่ากับระดับ ณ เดือนมกราคม 2016 ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านมีความเห็นขัดแย้งกัน โดยซาอุดีอาระเบียยืนยันว่าจะคงระดับการผลิตน้ำมันก็ต่อเมื่อสมาชิก OPEC ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ตรึงระดับการผลิตไว้ด้วยเช่นกัน ในขณะที่อิหร่านซึ่งไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม มีจุดยืนจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดหลังได้รับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเรื่องโครงการนิวเคลียร์ • ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปี 2016 ราว 50 basis points มีผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับระดับลดลง เนื่องจาก 2 ปัจจัย คือ 1) ตลาดน้ำมันใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในการซื้อขายน้ำมันและกำหนดราคาน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Petrodollar เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ผู้บริโภคน้ำมันที่ใช้เงินสกุลอื่นจะต้องจ่ายในราคาที่แพงขึ้น ทำให้อุปสงค์น้ำมันน้อยลง และ 2) นักลงทุนมีแนวโน้มย้ายเงินออกจากตลาดน้ำมันไปลงทุนในตลาดเงินแทนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง |