SHARE
SCB EIC ARTICLE
25 เมษายน 2016

ตามติดสถานการณ์การเมืองเพื่อนบ้าน

เผยแพร่ใน EIC Outlook ฉบับไตรมาส 2/2016

 

800pixel_ASEANThinkstockPhotos-502301813.jpg

 

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายอย่างเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศ CLMV โดยในช่วงเดือนมกราคม ลาวและเวียดนามได้มีการจัดประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งจะมีขึ้นทุกๆ 5 ปี เพื่อเลือกประธานาธิบดี เลขาธิการพรรคฯ นายกรัฐมนตรีและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญหลายตำแหน่ง อีกทั้ง เพื่อกำหนดทิศทางและวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2016-2020) ในขณะที่เมียนมาได้จัดการเลือกตั้งทั่วไปและมีประธานาธิบดีที่เป็นพลเมืองครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962 ทั้งนี้ การเมืองที่เปลี่ยนไปในเวียดนาม ลาว และเมียนมาจะทำให้มีการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมใหม่ๆ ซึ่งเป็นโอกาสและความท้าทายที่น่าจับตามองสำหรับไทย

สำหรับการเมืองในเวียดนามนั้น ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้นายเหวียน ฝู จ่อง แกนนำสายอนุรักษ์นิยม ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ผิดความคาดหมายที่นักวิเคราะห์มองว่านายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายเหงียน เติ๊น สุง จะขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคฯ แทน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้นายเหงียน เติ๊น สุง สิ้นสุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีทีผ่านมา นายสุง ได้ผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจเวียดนามจนเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้ง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การเข้าร่วม TPP และการทำการค้าเสรีกับหลายประเทศทั่วโลก สำหรับแผนเป้าหมายเศรษฐกิจสำหรับปี 2016-2020 เวียดนามได้วางเป้าหมายการขยายตัวของ GDP ไว้ที่ 6-7% ต่อปี และเร่งพัฒนาให้เวียดนามเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่าการปฏิรูปและการดำเนินนโยบายผลักดันเศรษฐกิจของเวียดนามอาจชะลอลง

ด้านการเมืองในลาวนั้น นายบุนยัง วอละจิด รองประธานาธิบดีและอดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคฯ พร้อมกับตำแหน่งประธานาธิบดีตามความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม การที่ไม่มีชื่อของประธานาธิบดีคนก่อน  นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีอีก 2 คนในรายชื่อสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของลาวชุดใหม่ (politburo) ชี้ว่าทั้งหมดอาจพ้นอำนาจทางการเมือง โดยทั้ง 4 คนนั้นถูกมองว่าเป็นฝั่งที่ยอมรับอิทธิพลจากจีน ส่งผลให้อำนาจของจีนที่อยู่ในคณะบริหารก็เริ่มหายไป อย่างไรก็ตาม ลาวยังคงจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศอยู่มาก โดยเฉพาะจากจีน เช่น ความช่วยเหลือในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการรถไฟ และโครงการดาวเทียม ด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจของลาวนั้น ลาวตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 7.5% ต่อปี และต้องการให้ลาวก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางภายในปี 2030 ผ่านการลงทุนของรัฐบาลและเงินช่วยเหลือจากต่างชาติในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับเมียนมานั้น ได้จัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งเป็นพรรคของนางอองซาน ซูจี ได้รับคะแนนเสียงและที่นั่งในสภาของเมียนมามากที่สุด ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมีนาคม สมาชิกสภาเมียนมาได้ลงมติเลือกนายถิ่น จอ จากพรรค NLD ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศนับเป็นประธานาธิบดีที่เป็นพลเมืองคนแรกของพม่านับตั้งแต่ปี 1962 สำหรับนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของพรรค NLD ประกอบไปด้วย 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) ภาคการคลังที่มั่นคง โดยตั้งเป้าหมายการขาดดุลการคลังไว้ที่ 5% ต่อ GDP 2) การปราบปรามคอรัปชั่นในรัฐบาล 3) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตร 4) การพัฒนาด้านการเงินและภาคธนาคาร และ 5) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ทั้งนี้ ผู้นำใหม่ของเมียนมาจะทำให้มีการเปิดประเทศมากขึ้น ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนและการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มเติม อีกทั้ง จะพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับบริษัทไทยที่จะขยายตลาดหรือฐานการผลิตออกไปยังกลุ่มประเทศเหล่านี้

 

 

คลิกอ่านฉบับเต็ม 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ