SHARE
FLASH
13 สิงหาคม 2015

การเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ของจีน...จับตาแนวโน้มและผลกระทบ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศลดค่าเงินหยวนอ้างอิงรายวันลงถึง 1.9% และเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าเงินหยวนอ้างอิงรายวันโดยใช้อัตราปิด ณ สิ้นวันของวันก่อนหน้า ประกอบกับภาวะอุปสงค์และอุปทานของเงินหยวนและทิศทางค่าเงินหลักของโลก ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ PBOC มีนโยบายการรักษาระดับค่าเงินหยวนที่ค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 6.1 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ยังคงกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของหยวนไว้ไม่เกิน 2% จากค่าอ้างอิงที่ประกาศ (รูปที่ 1)

ผู้เขียน: ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ และ ธนกร ลิ้มวิทย์ธราดล 

 

ThinkstockPhotos-482437332.jpg

 

 

Event.png

885_20100622103059.gif

  • วันอังคารที่ 11 สิงหาคม ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศลดค่าเงินหยวนอ้างอิงรายวันลงถึง 1.9% และเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าเงินหยวนอ้างอิงรายวันโดยใช้อัตราปิด ณ สิ้นวันของวันก่อนหน้า ประกอบกับภาวะอุปสงค์และอุปทานของเงินหยวนและทิศทางค่าเงินหลักของโลก ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ PBOC มีนโยบายการรักษาระดับค่าเงินหยวนที่ค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 6.1 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ยังคงกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของหยวนไว้ไม่เกิน 2% จากค่าอ้างอิงที่ประกาศ (รูปที่ 1)
Analysis.png

884_20100622103051.gif

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีนทำให้ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะสั้น เนื่องจากสาเหตุ 2 ประการคือ 1) ค่าเงินหยวนจะเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดมากขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียมีทิศทางอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก ขณะที่ค่าเงินหยวนค่อนข้างคงที่ (รูปที่ 2) นอกจากนี้ จีนได้เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออกนับตั้งแต่กลางปี 2014 เห็นได้จากทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่ลดลงจากราว 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ระดับ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน หรือลดลงราว 9% (รูปที่ 3) ซึ่งเกิดจากการรักษาค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับคงที่ 2) การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ภายในปีนี้ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การปล่อยให้เงินหยวนเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด ส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงไปเกือบ 5% ภายใน 3 วัน แม้ว่า PBOC จะไม่ได้ประกาศลดค่าเงินเพิ่มเติมอีกแต่อย่างใด


  • การปรับเปลี่ยนนโยบายค่าเงินหยวนส่งผลดีต่อประเทศจีนสองประการ คือช่วยในการกระตุ้นการส่งออกที่กำลังหดตัว และเป็นการปูทางเพื่อนำเงินหยวนเป็นสกุลหลักของโลก (Internationalization) โดยการเข้าเป็นหนึ่งในสิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights: SDRs) ซึ่งเป็นตะกร้าของเงินตราต่างประเทศที่สร้างขึ้นโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ ซึ่ง IMF มีเงื่อนไขว่าการที่หยวนจะเข้าร่วมเป็น SDRs ได้นั้น จีนจะต้องปล่อยให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวอย่างเสรี


  • แต่ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าเป็นความเสี่ยงใหม่ที่กระทบต่อเศรษฐกิจเอเชีย เห็นได้จากค่าเงิน ราคาหุ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ปรับตัวลดลง โดยประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับจีนมากมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูง เช่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่มีสัดส่วนการส่งออกไปจีนสูง เผชิญกับค่าเงินที่อ่อนค่า 2.3% 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ นอกจากนี้ มาเลเซียและออสเตรเลียที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เผชิญกับค่าเงินอ่อนค่าลง 2.3% และ 0.5% เช่นเดียวกัน (รูปที่ 4) ทั้งนี้ เนื่องจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนาไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (Safe haven) อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเยอรมนี สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ และเยอรมนีลดลง 8.6 และ 6.6 basis points ในวันที่ 11 สิงหาคม


  • จับตามองความเสี่ยงต่อภาคเอกชนจีนที่มีหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศ ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงส่งผลให้ภาระหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจีน จากข้อมูลของ Bank of International Settlement (BIS) พบว่าปัจจุบันภาคเอกชนจีนมีหนี้ต่างประเทศราว 51% ของ GDP หรือคิดเป็น 26% ของหนี้ภาคเอกชนทั้งหมด นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทจีนเช่นเดียวกัน


Implication.png

886_20100622103105.gif

  • ผลกระทบจากเงินหยวนอ่อนค่าไม่ส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเงินของไทยมากนัก ประเทศไทยยังมีสถานะทางการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลได้ราว 6% ของ GDP ในปีนี้ และยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงที่ 40% ของ GDP อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีความเสี่ยงต่อเงินทุนไหลออกมากที่สุดคือ มาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศน้อยกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น


  • การส่งออกของไทยไปยังจีนอาจชะลอลงอีก แต่ผลกระทบในภาคการท่องเที่ยวมีจำกัด ราคาสินค้านำเข้าในรูปเงินหยวนจะเพิ่มสูงขึ้นจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า ส่งผลให้ความต้องการสินค้าของจีนอาจลดลง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความสามารถในการแข่งขันของไทยอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกัน ในส่วนของการท่องเที่ยวของไทยน่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาพบว่า ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงไม่ได้เป็นการกำหนดพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีน แต่ปัจจัยสำคัญคือ การเติบโตของเศรษฐกิจจีน


  • ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าได้อีก ตามทิศทางค่าเงินหยวน โดยเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้อีกเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การส่งออกอ่อนแอ และภาวะเงินทุนไหลออก ซึ่งเป็นปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นภายในปีนี้



รูปที่ 1: PBOC ได้เปลี่ยนวิธีกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง (CNY/USD) ให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดมากขึ้น


pic01.jpg
 
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg


รูปที่ 2: ค่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียมีทิศทางอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก ขณะที่ค่าเงินหยวนค่อนข้างคงที่

 

pic02.jpg
 
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg


รูปที่ 3: จีนได้เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออกนับตั้งแต่กลางปี 2014

 

pic03.jpg
 
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg


รูปที่ 4: ค่าเงินภูมิภาคเอเชียอ่อนค่าตามค่าเงินหยวน

 

pic04.jpg

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ