Made in China 2025: มาถึงจุดไหนและมีนัยต่ออุตสาหกรรมไทยอย่างไรในปี 2019
Chinese Premier Li Keqiang was conspicuously silent on the "Made in China 2025" initiative as he spoke at the opening session of the National People's
ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 มาถึงจุดไหน และจะถูกผลักดันต่อไปหรือไม่?
นับตั้งแต่ปี 2015 รัฐบาลจีนได้ผลักดันยุทธศาสตร์ Made in China 2025 (MIC 2025) มุ่งปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตของจีนจาก “โรงงานของโลก” เป็น “แหล่งผลิตสินค้านวัตกรรมของโลก” เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมภาคการผลิตและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับสินค้าจีน โดยมุ่งเน้น 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อการสร้างนวัตกรรมในการผลิต ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักและมีการระบุถึงอยู่บ่อยครั้งในเอกสารเผยแพร่ของรัฐบาลกลางของจีน แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตั้งแต่ปลายปี 2018 รวมถึงในที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนปี 2019 รัฐบาลจีนไม่มีการกล่าวถึง ยุทธศาสตร์ MIC 2025 ในที่สาธารณชนเลย
สาเหตุที่ไม่มีการระบุถึง MIC 2025 คาดว่าเป็นเพราะจีนถูกสหรัฐฯ วิจารณ์ว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการแข่งขันทางธุรกิจ เนื่องจากจีนมีวิธีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่โปร่งใสผ่านการบังคับการโอนถ่ายเทคโนโลยี รวมถึงการให้เงินสนับสนุนบริษัทและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่สหรัฐฯ เพ่งเล็งในช่วงการทำสงครามการค้ากับจีนตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลจีนไม่ได้กล่าวถึง MIC 2025 นั้นไม่ได้หมายความว่าจีนจะล้มเลิกเป้าหมายที่จะยกระดับอุตสาหกรรม แต่เป็นเพียงการแสดงท่าทีที่จะปรับแผนยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น รวมถึงการลดปริมาณเงินสนับสนุนที่รัฐบาลให้แก่บริษัทและรัฐวิสาหกิจจีน โดยในการประชุมสภาผู้แทนฯ นั้น นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ยังย้ำถึงเจตนาที่จะผลักดันเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีการระบุไว้ใน MIC 2025 เดิม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสารสนเทศ อุปกรณ์การผลิตวัตถุดิบใหม่ ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และรถยนต์พลังงานใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้เปิดเผยว่า จะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายของรัฐในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปี 2019 เพิ่มขึ้น 13.4%YOY เป็นเม็ดเงินจำนวน 3.54 แสนล้านหยวน ดังนั้น ถึงแม้ว่าทางการจีนจะพยายามหลีกเหลี่ยงการพูดถึง MIC 2025 ทางตรง แต่รัฐบาลจีนยังคงเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตผ่านนโยบายอุตสาหกรรมอยู่
วิเคราะห์ความสำเร็จและอุปสรรคของยุทธศาสตร์ MIC 2025
ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์นี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตั้งกองทุนขึ้นมาหลายกองทุน เช่น กองทุนสนับสนุนการยกระดับของอุตสาหกรรมแผงวงจรรวม และกองทุน Advanced Industry Investment Manufacturing Fund (AIIMF) โดยใช้งบประมาณกว่า 2 แสนล้านหยวน1เพื่อช่วยให้ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจจีนได้รับการสนับสนุนตามเป้าหมาย โดยในปี 2016 กองทุน AIIMF เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BYD เป็นมูลค่า 1.5 พันล้านหยวน2 ซึ่งในปี 2018 บริษัท BYD ได้กลายเป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดอันดับสองของโลก
การดำเนินยุทธศาสตร์ MIC 2025 จะเน้นการนำนโยบายไปใช้ในโครงการนำร่องในหลายเมืองเพื่อทดลองก่อน หากสำเร็จแล้วถึงจะต่อยอดขยายผลนำไปใช้ในระดับประเทศ ตัวอย่างเช่น ในปี 2015 รัฐบาลจีนเลือกเมืองหนิงโป ในมณฑลเจ้อเจียง เป็นเมืองนำร่องในการใช้แผนพัฒนา Made in China 2025 และในปีนั้นได้เริ่มโครงการนำร่องด้านการผลิตแบบอัจฉริยะไปกว่า 46 โครงการ รวมทั้งโครงการการประกอบไมโครอิเล็กทรอนิกส์แบบอัจฉริยะในมณฑลส่านซี และโครงการ Industrial 3D printing system ในมณฑลหูหนาน เป็นต้น จนถึงขณะนี้ได้ขยายเพิ่มไปมากกว่า 200 โครงการกระจายไปตามเมืองต่างๆ ของจีน และยังมีแผนที่จะเพิ่มอีก 100 โครงการในปี 2019 และหากดูจากจำนวนสิทธิบัตรที่บริษัทจีนได้รับจากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายแห่งสหรัฐฯ จะเห็นว่าจำนวนการออกสิทธิบัตรได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (รูปที่ 1) โดยในปี 2017 บริษัท Huawei เป็นบริษัทที่ได้รับสิทธิบัตรจากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายแห่งสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 20 ของโลก
รูปที่ 1: จำนวนการออกสิทธิบัตรจากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายแห่งสหรัฐฯ จำแนกตามประเทศ
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ World Intellectual Property Organization และ IFI Claims
อย่างไรก็ดี ยุทธศาสตร์ MIC 2025 กำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ 2 ประการ โดยหนึ่งในนั้นคือความท้าทายในการกระจายผลประโยชน์ ซึ่งขณะนี้แนวทางของยุทธศาสตร์ MIC 2025 กำลังเกิดประโยชน์กระจุกตัวเฉพาะกับบริษัทแถวหน้าของจีนที่มีความพร้อมและพื้นฐานเดิมดีอยู่แล้ว แต่บริษัทส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้เริ่มใช้เทคโนโลยีในการผลิตอาจจะไม่ได้รับผลประโยชน์จากยุทธศาสตร์นี้มากนัก จึงเป็นภารกิจที่ไม่ง่ายในการยกระดับทั้งอุตสาหกรรม จากรูปที่ 1 ยังแสดงให้เห็นอีกว่า บริษัทสัญชาติจีนยังได้รับสิทธิบัตรจากสหรัฐฯ น้อยกว่าบริษัทจากประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นๆ อีกทั้ง ระดับการใช้ระบบออโตเมชั่นในจีนยังน้อยกว่าในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศเช่นกัน (รูปที่ 2)
รูปที่ 2: สัดส่วนการใช้หุ่นยนต์ต่อพนักงานหนึ่งหมื่นคนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ปี 2017
*ข้อมูลของไทยมาจากปี 2016
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ International Federation of Robotics
นอกจากนี้ ความท้าทายสำคัญอีกประการหนึ่งคือความท้าทายในการจัดสรรเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพไม่ให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด เนื่องจากบริษัทในจีนยังคงมีการแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการของรัฐ อีกทั้งการอัดฉีดให้เงินสนับสนุนของรัฐเป็นการแทรกแซงต่อกลไกตลาด และมีเงินทุนบางส่วนที่ไม่ได้ถูกจัดสรรอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาผลผลิตส่วนเกินในบางอุตสาหกรรมของจีน เช่น อุตสาหกรรมโลหะ ถ่านหิน และอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งรัฐบาลจีนกังวลว่า ปัญหานี้อาจจะเกิดขึ้นกับบางอุตสาหกรรมที่กำลังผลักดัน เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีการประมานการณ์ว่าขีดความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนในปี 2020 อยู่ที่ 20 ล้านคัน แต่ยอดขายในปี 2020 นั้น รัฐบาลตั้งเป้าไว้เพียง 2 ล้านคัน ซึ่งแปลว่าอาจจะมีการผลิตส่วนเกินถึง 18 ล้านคัน รัฐบาลจึงมีมาตรการห้ามไม่ให้ขยายกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่ที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตยังไม่ถึง 80% เป็นต้น
ความเชื่อมโยงกับ MIC 2025 และโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมไทยในระยะต่อไปคืออะไร?
อีไอซีมองว่า อุตสาหกรรมไทยสามารถใช้ประโยชน์จากแผน MIC 2025 ทั้งในด้านการส่งออก การลงทุน และการนำเข้า (รูปที่ 3) ในด้านการส่งออก บริษัทจีนในอนาคตจะไม่เป็นเพียงโรงงานประกอบชิ้นส่วนอีกต่อไป แต่จะมุ่งเน้นด้านการผลิตสินค้าคุณภาพสูงโดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้โครงสร้างของสินค้าส่งออกไทยไปจีนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วยเพราะไทยมีความเชื่อมโยงด้านการค้ากับจีนที่สูง ภาคการส่งออกไทยคงจะไม่สามารถส่งออกเพียงแค่วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนอุปกรณ์เพื่อให้จีนนำไปประกอบเพื่อส่งออกต่อเหมือนที่ผ่านมา แต่บริษัทไทยจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของตัวเองเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะต้องพัฒนาการส่งออกสินค้าที่มีความซับซ้อนและใช้นวัตกรรมมากขึ้นและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของจีน ซึ่งอุตสาหกรรมไทยหลายส่วนมีศักยภาพจากความชำนาญในการผลิตสินค้าหลายรายการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จะต้องมีการปรับเปลี่ยนจากการผลิตชิ้นส่วนแผงวงจรไฟฟ้ามาเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต ส่วนอุตสาหกรรมพลาสติก จะต้องเปลี่ยนจากการส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนในลักษณะกึ่งวัตถุดิบ เช่น Linear Low Density Polyethylene (LLDPE) ให้เป็นพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ (Bioplastic) เป็นต้น
รูปที่ 3: แนวทางสำหรับไทยในการใช้ประโยชน์จาก MIC 2025
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC
อุตสาหกรรมแห่งอนาคตภายใต้ยุทธศาสตร์ MIC 2025 ที่มีความสอดคล้องกับหลายอุตสาหกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ การบิน หุ่นยนต์ ยานยนต์สมัยใหม่ ดิจิทัล และการแพทย์ จีนมีแผนพัฒนาที่เน้นการสร้างชาติ ผลักดันบริษัทในประเทศสอดคล้องกับไทยที่เน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จึงมีศักยภาพในการร่วมมือกันในด้านการลงทุน อีไอซีมองว่า โครงการ EEC ของไทยที่เน้นดึงดูดการลงทุนจากบริษัทจีนที่มีคุณภาพและมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาโครงการ EEC แต่การเข้ามาลงทุนของจีนนั้นจะต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน มีการจ้างงานและการกระจายความรู้ให้ฝ่ายไทย ทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยจากการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่จากจีนตามแผน MIC 2025 ส่วนในด้านการนำเข้า อุตสาหกรรมไทยสามารถปรับประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจากจีน เช่น การนำเข้าหุ่นยนต์จากจีนซึ่งมีราคาที่ไม่สูงเกินไปมาใช้เพื่อเปลี่ยนจากโรงงานดั้งเดิมให้เป็นโรงงานอัจฉริยะด้วยระบบออโตเมชั่น นอกจากยุทธศาสตร์ MIC 2025 แล้ว อีไอซีมองว่านโยบาย Belt and Road Initiative ของจีนที่เชื่อมโยงผ่านไทยจะเพิ่มโอกาสความร่วมมือกันในมิติต่างๆ ทั้งด้านการค้า การลงทุน เทคโนโลยี รวมถึงระบบขนส่งโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพและความเชื่อมโยงในการพัฒนาอุตสาหกรรม ระหว่างจีนและไทย ตัวอย่างบริษัทจีนชั้นนำที่ได้เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC ของไทยแล้ว ได้แก่ บริษัท Sentury Tire ในจังหวัดระยอง ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของ Smart Factory 4.0 ที่ได้นำระบบออโตเมชั่นมาใช้ในการพัฒนาเป็นโรงงาน อัจฉริยะของจีนในไทย รวมทั้ง เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้เริ่มทำการทดสอบระบบ 5G โดยบริษัท Huawei ภายในโครงการ EEC โดยสรุปแล้ว ความสอดคล้องของทั้งสองยุทธศาสตร์เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทย ซึ่งหากไทยสามารถใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ จะเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุค Industry 4.0 ได้สำเร็จในอนาคต
1 ข้อมูลจากหอการค้าสหรัฐฯ (Made in China 2025: Global Ambitions Built on Local Protections, 2017)
2 ข้อมูลจากการเผยแพร่ของตลาดหุ้นฮ่องกง (BYD Company limited: Completion of additional A shares issue, 2016)
เผยแพร่ในการเงินการธนาคาร คอลัมน์เกร็ดการเงิน วันที่ 15 เมษายน 2019