Unlocking Thailand’s Economic Potential through Regulatory Reform ปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจไทย ด้วยการปฏิรูปกฎหมาย
สิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำข้อจำกัดของเศรษฐกิจไทย คือ ระบบกฎหมายและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจที่ซับซ้อนและล้าสมัย ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคธุรกิจ
“The role of government is to preserve law and order, to enforce private contracts, to foster competitive markets.”
Milton Friedman
แม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับมาได้บ้างหลังวิกฤตโควิด-19 แต่การเติบโตยังคงต่ำเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค โดยในช่วงปี 2021–2024 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.2% สะท้อนว่าเครื่องยนต์เก่าอย่างการท่องเที่ยวและการส่งออกเริ่มขาดแรงส่ง ขณะเดียวกันปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนสูงและสังคมผู้สูงอายุ ก็ยังคงกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่ยิ่งตอกย้ำข้อจำกัดของเศรษฐกิจไทย คือ ระบบกฎหมายและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจที่ซับซ้อนและล้าสมัย ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคธุรกิจ เพราะไม่เพียงเพิ่มต้นทุนที่ไม่จำเป็น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และจำกัดความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ หากไทยยังไม่เร่งปฏิรูปกฎเกณฑ์กติกาเหล่านี้ การก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืนก็อาจยังเป็นความหวังที่ไปไม่ถึง แต่หากสามารถปลดล็อกข้อจำกัดนี้ได้ ก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่เปิดทางให้ไทยได้ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมนานาประเทศได้อย่างแท้จริง
ไทยแข่งขันได้แย่ลงในเวทีโลก ประสิทธิภาพภาครัฐเป็นตัวฉุดสำคัญ
รายงานความสามารถในการแข่งขันโลกปี 2025 ของ International Institute for Management Development (IMD) ชี้ว่า อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยปรับลดลง 5 อันดับ มาอยู่ที่ 30 จากทั้งหมด 69 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประเมินจากองค์ประกอบด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพภาครัฐ ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นน่ากังวลที่สุดสำหรับไทย คือ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ซึ่งอันดับร่วงลงมาอยู่ที่ 32 ถือเป็นอันดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี (รูปที่ 1) ขณะที่ดัชนีย่อยแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่ฉุดรั้งภาครัฐไทยอยู่ ได้แก่ ความโปร่งใสต่ำ (อันดับ 59)การติดสินบนและคอร์รัปชันฝังรากลึก (อันดับ 55) และความสามารถในการปรับนโยบายของภาครัฐที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก (อันดับ 53)
สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากความซับซ้อนของกฎหมายและกฎระเบียบที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ สร้างต้นทุนแฝงและบั่นทอนบรรยากาศการลงทุน ทำให้ไทยเสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศที่สามารถปรับปรุงกติกาให้โปร่งใส คล่องตัว และเอื้อต่อการทำธุรกิจได้มากกว่า
กฎหมายไทยมีจำนวนมาก ซับซ้อน เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ
จากข้อมูลของสำนักงาน ป.ป.ช. ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายมากกว่า 100,000 ฉบับซึ่งถือว่ามีจำนวนมากเกินไป แบ่งได้เป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติกว่า 1,400 ฉบับ กฎหมายลำดับรองมากกว่า 100,000 ฉบับ และใบอนุญาตอีกกว่า 7,000 รายการ โดยปัญหาของกฎหมายไทยไม่ได้อยู่ที่จำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญคือ กฎหมายจำนวนมากนั้นยังมีความซ้ำซ้อน ล้าสมัย เข้มงวดเกินไป อีกทั้ง กระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมายไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายยังขาดเอกภาพ หน่วยงานต่าง ๆ ขาดการบูรณาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงในการพิจารณากฎหมายต่อภาคธุรกิจและประชาชน
ผลกระทบที่ตามมาคือ ธุรกิจต้องเผชิญกับต้นทุนที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ซับซ้อน เวลาที่เสียไปกับขั้นตอนการขออนุญาตหรือการตีความกฎหมายที่ไม่ชัดเจน รวมถึงการเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันจากความต้องการเร่งรัดกระบวนการ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการลงทุน เพราะกฎหมายจำนวนมากขาดความเป็นระบบ ปัญหาเหล่านี้ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐไทยได้พยายามขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันมากขึ้น
การปฏิรูปกฎหมายในไทย… เริ่มต้นแล้ว แต่ทำไมยังไม่เห็นผล
ประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปกฎหมายผ่านแนวคิด Regulatory Guillotine ตั้งแต่ปี 2017 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน ต่อมาได้จัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจช่วงปี 2023–2025 โดยมีแนวทางสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมการประกอบธุรกิจ, การพัฒนาระบบใบอนุญาตให้ทันสมัย, การอำนวยความสะดวกด้านการนำเข้าส่งออก และการผลักดันบริการรูปแบบใหม่ เช่น One stop service หรือ Super licensing ขณะเดียวกัน TDRI ได้มีการศึกษาโครงการทบทวนกฎหมายใบอนุญาตของทางราชการในปี 2019 จากตัวอย่างกฎหมาย 1,094 กระบวนงาน ผลศึกษาพบว่า สามารถยกเลิกได้ถึง 39% ปรับปรุง 43% คงไว้ 15% และต้องรื้อสร้างใหม่เพียง 4% ซึ่งหากดำเนินการปฏิรูปกฎหมายได้ตามนี้ จะช่วยประหยัดต้นทุนภาคเอกชนกว่า 133,816 ล้านบาทต่อปี หรือราว 0.8% ของ GDP แสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปกฎหมายไม่เพียงช่วยลดภาระของภาคธุรกิจ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ความพยายามขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายของไทยที่ผ่านมายังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้ อาจมีสาเหตุสำคัญจาก
- การขาดผู้นำทางการเมืองและเจ้าภาพหลักที่มีอำนาจกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความพยายามกระจัดกระจายและไม่บูรณาการ
- หน่วยงานภาครัฐขาดแรงจูงใจในการปฏิรูปกฎหมาย เนื่องจากหน่วยงานรัฐจำนวนมากยังคงรักษาผลประโยชน์จากอำนาจการอนุมัติและควบคุมกฎเกณฑ์ไว้กับตนเอง
- ความไม่ต่อเนื่องทางการเมือง รัฐบาลแต่ละชุดให้ความสำคัญแนวนโยบายแตกต่างกันไป ทำให้ความพยายามปฏิรูปกฎหมายสะดุดลงเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ไทยจะพอเห็นปัญหานี้ แต่ยังขาดกลไกและพลังขับเคลื่อนที่จริงจังมากพอที่จะทำให้การปฏิรูปกฎหมายเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ปฏิรูปกฎหมายไทยอย่างไรให้สำเร็จ ?
กรณีศึกษาจากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการปฏิรูปกฎหมายสามารถทำได้จริง หากมีผู้นำที่มีเป้าหมายชัดเจนและออกแบบกลไกติดตามที่เข้มแข็ง เช่น เกาหลีใต้ ในช่วงหลังวิกฤตปี 1997 ได้ตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐ–เอกชน และกำหนดเป้าหมายชัดเจนในการยกเลิกหรือปรับปรุงกฎระเบียบ 50% ภายใน 6 เดือน พร้อมใช้หลักการ Reverse proof ที่ให้หน่วยงานรัฐต้องพิสูจน์ว่ากฎหมายใดจำเป็น หากไม่สามารถอธิบายได้ต้องถูกยกเลิกไป ส่งผลให้สามารถลดกฎระเบียบลงเกือบครึ่งในเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ หากพิจารณาคู่แข่งสำคัญทางเศรษฐกิจของไทยอย่างเวียดนาม ได้ประกาศปฏิรูปกฎหมาย Project 30 ในช่วงปี 2007 - 2010 เพื่อลดความซับซ้อนของขั้นตอนการบริหารราชการและกฎระเบียบทางธุรกิจบางส่วนให้ได้ภายใน 3 ปี ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พร้อมเปิดให้ภาคเอกชนและประชาชนมีส่วนร่วมในการทบทวนกฎหมายและขั้นตอนต่าง ๆ ผลลัพธ์คือ เวียดนามสามารถลดภาระทางกฎหมายได้กว่า 30% และประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ภาคธุรกิจและประชาชนเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้วิธีการปฏิรูปกฎหมายในประเทศเหล่านี้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่กลับมีจุดร่วมที่ไทยยังไปไม่ถึง นั่นคือ การมีผู้นำที่ตั้งเป้าหมายปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่และมีระยะเวลาชัดเจน กำหนดเจ้าภาพกลางที่มีอำนาจกำกับติดตามความต่อเนื่อง รวมถึงออกระบบติดตามที่โปร่งใส เปิดให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
Quick Win ในการปฏิรูปกฎหมายไทย
การปฏิรูปกฎหมายถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ซึ่งโดยปกติแล้วต้องอาศัยเวลาและการแก้ไขกฎหมายแม่บทอย่างจริงจัง อย่างไรก็ดี ภาครัฐไทยยังมี Quick Win ที่สามารถลงมือทำได้ทันทีและเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจาก
- ตรงจุด : ปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่กระทบต่อการทำธุรกิจโดยตรง ผ่านการออกมติคณะรัฐมนตรี หรือประกาศของกระทรวง ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอแก้ไขพระราชบัญญัติผ่านสภาที่อาจใช้เวลาเป็นปี วิธีการนี้ช่วยลดภาระและต้นทุนของภาคธุรกิจได้ทันที มีผลโดยตรงต่อการยกระดับ GDP และสร้างแรงหนุนทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
- ต่อยอด : ภาครัฐสามารถต่อยอดจากสิ่งที่ได้เริ่มต้นไว้แล้ว เช่น การผลักดันพระราชบัญญัติ Regulatory Impact Assessment (RIA) ให้มีการบังคับใช้อย่างจริงจังทั้งก่อนและหลังบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้การออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ต้องผ่านการประเมินผลกระทบก่อนเสมอ ลดปัญหากฎหมายซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นในอนาคต อีกทั้ง ควรมีการติดตาม พิจารณาปรับปรุงกฎหมายทุก ๆ 3-5 ปีให้มีความทันสมัย ทันการเปลี่ยนแปลงของบริบททางเศรษฐกิจ
- ตั้งคนกลาง : การจัดตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายอย่างเป็นระบบและพร้อมร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งอาจถูกจัดตั้งจากรัฐบาลและมีอำนาจโดยตรงในการกำกับดูแลหน่วยงานต่าง ๆ โดยคณะกรรมการกลางนี้มีบทบาทในการรับฟังปัญหาจริงจากภาคเอกชนแบบ end-to-end ไม่ให้ปัญหาตกหล่นหรือถูกโยนความรับผิดชอบไปมา พร้อมกำหนด KPI กลางร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐที่มีเป้าชัดเจนวัดได้ เช่น เป้าหมายการลดขั้นตอนอนุญาตหรือลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จากนั้นผลักดันให้มีการติดตามผลแบบโปร่งใสผ่าน Public Dashboard เพื่อให้สังคมและภาคธุรกิจตรวจสอบได้ และสุดท้ายต้องมีการประเมินผลและปรับปรุงต่อเนื่อง เพื่อสรุปบทเรียนและดำเนินการต่อได้ถูกทิศทาง
การเริ่มหา Quick win ปฏิรูปกฎหมายของไทยให้เจอ เปรียบเหมือนเป็น “ผลไม้สุกที่อยู่ใกล้มือ” ที่ประเทศไทยสามารถเริ่มทำและเก็บเกี่ยวผลได้ทันที ซึ่งต้องอาศัยกุญแจแห่งความสำเร็จผ่านความร่วมมืออย่างจริงจังของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาควิชาการที่มุ่งเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ โปร่งใส และแข่งขันได้ในเวทีโลก นอกจากภาครัฐจะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดให้ภาคธุรกิจได้แล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ว่า ประเทศไทยเอาจริงกับการยกระดับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยยกระดับ GDP และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในระยะยาวได้อีกทางหนึ่ง
________
เผยแพร่ในวารสารการเงินธนาคารคอลัมน์เกร็ดการเงินประจำเดือนตุลาคม 2025