สงครามการค้ารอบใหม่… โจทย์ใหญ่ SME ไทยต้องเตรียมรับมือ
สงครามการค้ารอบใหม่นี้อาจเป็นทั้งวิกฤติและโอกาส หาก SME ไทยปรับตัวทัน จะรอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อ SME ไทย
สงครามการค้ารอบใหม่จากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของผู้ประกอบการ SME ไทยที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือท่ามกลางความเสี่ยงทางธุรกิจที่มากขึ้นและปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมาแต่เดิม การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะกระทบ SME ไทยในหลายมิติ ทั้งผลกระทบโดยตรงจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่าสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของ SME ไทย รองจากจีน โดยปี 2024 SME ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (14% ของการส่งออกของ SME ทั้งหมด หรือราว 2.5% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย) แม้ว่าการส่งออกโดยตรงไปสหรัฐฯ ของ SME มีสัดส่วนไม่สูงมากนัก แต่ผลกระทบทางอ้อมกลับมีน้ำหนักมากกว่าจากการที่ SME ไทยจำนวนมากเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตของผู้ประกอบการรายใหญ่ อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งแม้ว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เก็บจากไทยที่ 19% จะอยู่ในระดับใกล้เคียงคู่แข่ง แต่อัตราภาษีที่สูงขึ้นคาดว่าจะกระทบต่ออุปสงค์การส่งออกโดยภาพรวม จากราคาสินค้าที่จะปรับตัวสูงขึ้นซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงกดดันต่อผู้ประกอบการในการกำหนดราคา โดยเฉพาะ SME ที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่ารายใหญ่ นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบอื่นๆ ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกโดยเฉพาะจากจีน และความเข้มงวดของการตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ์ที่จะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ SME
คำถามต่อมาคือผู้ประกอบการ SME ไทยควรปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้อย่างไร?
แม้ว่าสงครามการค้าจะเป็นปัจจัยคุกคามการฟื้นตัวของ SME แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง แรงกดดันนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ SME ไทยต้องเร่งปรับตัวพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางความผันผวนของโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยปรับใช้กลยุทธ์ ดังนี้
1) ลดต้นทุน : ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ
หนึ่งในทางรอดสำหรับ SME คือการควบคุมต้นทุนและต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินงาน โดยสามารถนำเอาเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น ทั้งนี้จากผลสำรวจของ Bain&Co พบว่า 75% ของผู้ประกอบการ SME ใน ASEAN มองเห็นถึงโอกาสของการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ แต่มีเพียง 16% ที่มีการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จริง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากข้อจำกัดหลายด้านทั้งทักษะและเงินทุน ผู้ประกอบการ SME จึงอาจเริ่มจากการใช้เทคโนโลยีแบบที่ไม่ซับซ้อน อาทิ ระบบประหยัดพลังงานและลดของเสีย การนำ ERP (Enterprise Resource Planning) บนคลาวด์มาใช้ รวมถึงนำเอา AI มาบริหารจัดการสต็อกและเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนการตลาด
2) ขยับบทบาทใน Value chain : จากผู้รับคำสั่ง สู่ผู้ร่วมสร้างคุณค่า (Value creator)
SME ไทยในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยังอยู่ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนหรือผู้รับจ้างผลิตในห่วงโซ่การผลิต ทำให้มีอำนาจต่อรองน้อยและยังมีความเสี่ยงจากการที่ผู้สั่งซื้อสินค้ารายใหญ่สามารถปรับเปลี่ยนซัพพลายเออร์ได้ทันทีหากต้นทุนหรือความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น การรอให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นผู้กำหนดทิศทางตลาดคงจะไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป SME จึงต้องเร่งปรับตัวพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อลดแรงกดดันด้านราคา อาทิ ออกแบบสินค้านวัตกรรมใหม่และตอบโจทย์เทรนด์โลกอย่างผลิตภัณฑ์สีเขียว สร้างแบรนด์ของตนเอง เพิ่มบริการหลังการขาย
3) กระจายความเสี่ยง : สร้างพันธมิตรหาตลาดใหม่
ในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การกระจายความเสี่ยงหารายได้จากตลาดที่หลากหลายนับเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความยากสำหรับ SME คือการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ SME อาจต้องมองหาโอกาสในการสร้างพันธมิตรในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการเข้าร่วมคลัสเตอร์หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่เชื่อมกับผู้ส่งออกรายใหญ่เพื่อหาโอกาสในการกระจายตลาด หรือแม้แต่การร่วมเป็นพันธมิตรกับ SME ในต่างประเทศ เพื่อให้สามารถกระจายตลาดไปแหล่งใหม่ ๆ นอกเหนือจากตลาดเดิมอย่างสหรัฐฯ หรือจีน ไปสู่กลุ่มตะวันออกกลาง อินเดีย หรือยุโรปตะวันออกที่มีศักยภาพ
4) พลิกวิกฤติเป็นโอกาส : ปรับตัวให้เท่าทันกติกาการค้าใหม่
นอกจากอัตราภาษีตอบโต้ที่ SME ไทยต้องเตรียมแบกรับภาระเพิ่มแล้ว การเก็บภาษีสำหรับสินค้าสวมสิทธิ์เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญและอาจมองประเด็นนี้เป็นโอกาส เนื่องจากสหรัฐฯ จะมีการกำหนดสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในประเทศหรือภายในภูมิภาค ผู้ประกอบการ SME จึงต้องเร่งทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับถิ่นกำเนิด (Rules of Origin) ผลิตหันมาใช้วัตถุดิบในประเทศหรือภายในภูมิภาค เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ขณะเดียวกัน ต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต/การรับรองคุณภาพเพื่อตอบโจทย์กฎระเบียบการค้าโลก โดยครอบคลุมไปถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มงวดมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี การที่ SME จะปรับตัวได้ ยังต้องอาศัยแรงผลักดันจากภาครัฐ ซึ่งนอกจากการช่วยกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้และมีข้อจำกัดด้านเงินทุนแล้ว ยังต้องสนับสนุนการลงทุนให้ตรงจุด เน้นสร้างความเข้มแข็งให้ SME สามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่ และพัฒนาทักษะแรงงาน ขณะเดียวกัน ต้องสร้างภูมิคุ้มกัน อย่างเช่น จัดทำ Dashboard ความเสี่ยงการค้าเพื่อช่วยให้ SME สามารถวางแผนได้ล่วงหน้า ส่งเสริมการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ เพื่อให้ SME เข้าถึงเทคโนโลยีและมาตรฐานสากล ตลอดจนยกระดับด้านดิจิทัลและโลจิสติกส์ เช่น สนับสนุน E-commerce ข้ามพรมแดน และแพลตฟอร์มโลจิสติกส์ต้นทุนต่ำ
สงครามการค้ารอบใหม่นี้อาจไม่ใช่เป็นแต่เพียงวิกฤติ แต่เป็นโอกาสในการยกระดับฐานราก หาก SME ไทยปรับตัวได้ทัน จะไม่เพียงแค่รอดพ้นจากวิกฤติ แต่ยังสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
________
เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองข้ามชอต วันที่ 9-12 ตุลาคม 2025