SHARE
SCB EIC BRIEF
06 ตุลาคม 2025

ความเสี่ยงไทยถูกปรับลดเครดิตเรตติงเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะเร่งแก้ไข

SCB EIC ประเมินว่าไทยยังมีทางรอดจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีจุดแข็งหลายมิติที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือยอมรับ

อันดับความน่าเชื่อถือหรือเครดิตเรตติงของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ BBB+ หรือ Baa1 จากมุมมองของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลัก 3 แห่ง ได้แก่ Moody’s, S&P และ Fitch มาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งถือว่าเป็นระดับกลุ่มลงทุน (Investment grade) สะท้อนว่าประเทศไทยมีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือสูง มีความสามารถในการชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยได้ อย่างไรก็ดี อันดับความน่าเชื่อถือของไทยกำลังสั่นคลอน โดยในช่วงที่ผ่านมา Moody’s (29 เม.ย. 2568) และ Fitch (24 ก.ย. 2568) ได้ประกาศว่ามีมุมมองทางลบต่อแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ (Negative outlook) ของไทย แม้ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ Baa1 และ BBB+ ตามลำดับ จาก 2 เหตุผลสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงและความยั่งยืนทางการคลังที่แย่ลง

เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าอดีต

SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 1.8% ในปี 2568 และ 1.5% ในปี 2569 (มุมมอง ณ ก.ย. 2568) ชะลอลงมากจาก 2.5% ในปี 2567 ต่ำกว่าอัตราการเติบโตตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 2.7% เทียบกับอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 10 ปีก่อนวิกฤติโควิด (2553-2562) ที่ 3.6% ปัญหาส่วนหนึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มขยายตัวได้เพียง 2.5% ในปี 2568 และ 2.4% ในปี 2569 ต่ำกว่า 2.8% ในปี 2567 และโมเดลเศรษฐกิจไทยพึ่งพาโลกได้ยากขึ้น

แม้ภาคการส่งออกสินค้าของไทยจะขยายตัวได้ดีถึง 13.3% ใน 8 เดือนแรกของปี 2568 แต่ส่วนมากเป็นผลจากปัจจัยพิเศษ อย่างการเร่งส่งออกสินค้าก่อนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับมูลค่าการส่งออกทองคำยังเพิ่มขึ้นมากตามราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าการส่งออกของไทยจะชะลอตัวอย่างชัดเจนและหดตัวในช่วงปลายปี ก่อนจะหดตัวต่อเนื่อง -1.9% ในปี 2569

ภาคการท่องเที่ยวไทยได้เผชิญความท้าทายจากอุปสงค์ต่างประเทศเช่นเดียวกัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับการท่องเที่ยวในเอเชียแข่งขันกันเข้มข้นมากขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลักของไทยส่วนใหญ่ทับซ้อนกับนักท่องเที่ยวเป้าหมายของหลายประเทศ อีกทั้ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องเสี่ยงทำให้ไทยเสียเปรียบการแข่งขันด้านท่องเที่ยว ทั้งกับประเทศปลายทางอื่นโดยเฉพาะเวียดนามและจีน ซึ่งค่าเงินอ่อนกว่าประเทศอื่น และในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากอินเดีย, สหรัฐฯ และจีน ที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทย โดย SCB EIC ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยทั้งหมด 32.9 ล้านคน ในปี 2568 และ 34.1 ล้านคนในปี 2569 ใช้เวลาถึง 7 ปีในการฟื้นตัวเทียบกับ 39.8 ล้านคนในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิดปี 2562

นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอและเปราะบาง โดยตลาดแรงงานไทยเริ่มเปราะบางมากขึ้นในช่วงปีนี้ อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมและอัตราการว่างงานเด็กจบใหม่ที่เร่งตัวขึ้น ประกอบกับชั่วโมงทำงานที่ปรับลดลง ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนไทยยังฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมถึงหนี้นอกระบบ ด้านภาคธุรกิจยังเปราะบางเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังมีรายได้ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด

เสถียรภาพการคลังของไทยปรับแย่ลง

เสถียรภาพด้านการคลังเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการชี้วัดอันดับความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นตัวแปรที่บ่งชี้ว่าภาครัฐจะมีความสามารถในการชำระหนี้เดิมหรือกู้เงินใหม่ได้หรือไม่ โดยเสถียรภาพทางการคลังไทยถดถอยลงมากจากช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด สะท้อนจากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 41% ของ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2562 เป็น 64.5% ณ สิ้นเดือน ก.ค. 2568 เป็นผลจากการใช้จ่ายเพื่อพยุงเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด ประกอบกับการขาดดุลงบประมาณในปัจจุบันยังอยู่สูงกว่า 4% ของ GDP เทียบกับระดับปกติในอดีตที่ต่ำกว่า 3% ของ GDP โดย SCB EIC ประเมินว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะจะเพิ่มสูงขึ้นจนแตะเพดานหนี้สาธารณะไทยที่ 70% ของ GDP ในปี 2570 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 75.4% ในปี 2572 จากทั้งการขาดดุลการคลังที่สูงและเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงมาก ปริมาณหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลให้รัฐบาลมีภาระจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นที่สูงขึ้นในอนาคตเช่นเดียวกัน ทั้งนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อประมาณการรายได้ของรัฐบาลอาจเพิ่มขึ้นจากราว 9.6% ในปี 2567 เป็น 13.7% ในปี 2572 ซึ่งสูงกว่า 12% และเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือใช้พิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือ 

หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจะเป็นผลลบต่อเศรษฐกิจ แต่ยังอยู่ในระดับกลุ่มลงทุน

โดยปกติแล้วหากประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจะทำให้ภาครัฐมีต้นทุนการกู้ยืมเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ลงทุนหรือผู้ให้กู้จะต้องการผลตอบแทนที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงอาจต้องขาดดุลการคลังมากขึ้น เพื่อจ่ายดอกเบี้ยที่แพงขึ้นหรือต้องลดรายจ่ายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลง ซ้ำเติมปัญหาเสถียรภาพการคลังและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิม เม็ดเงินในตลาดการลงทุนอาจไหลออกจากประเทศมากขึ้นและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ได้น้อยลง เนื่องจากนักลงทุนสถาบันมักกำหนดระดับความเสี่ยงของประเทศที่จะไปลงทุนไว้โดยอ้างอิงกับอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ นอกจากนี้ ภาคเอกชนในประเทศจะมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติงตามมาเช่นเดียวกัน โดยในวันที่ Moody’s (30 เม.ย. 2568) และ Fitch (29 ก.ย. 2568) ได้ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐ (เช่น รัฐวิสาหกิจ) และสถาบันการเงินหลายแห่งในไทยเป็นลบแล้ว

อย่างไรก็ดี หากในเวลาต่อมาไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง 1 ระดับ (Notch) เป็น BBB หรือ Baa2 ตราสารหนี้ของภาครัฐไทยก็จะยังอยู่ในระดับกลุ่มลงทุน (Investment grade) และจะยังเหลือพื้นที่รองรับความเสี่ยงอีกแค่ 1 Notch ที่ BBB- หรือ Baa3 ก่อนจะไปอยู่ในกลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน (Non-investment grade) ประกอบกับโครงสร้างการกู้เงินของภาครัฐไทยมีความเสี่ยงต่ำ โดยหนี้เกือบทั้งหมด 99.2% เป็นหนี้ภายในประเทศ หรือมีหนี้ต่างประเทศเพียง 0.8% รวมถึงหนี้โดยส่วนมาก 88.7% เป็นหนี้ในระยะยาวตามอายุคงเหลือ สะท้อนว่ารัฐบาลจะยังคงมีความสามารถในการกู้เงินใหม่และบริหารจัดการหนี้ได้ 

การสื่อสารเร่งแผนปฏิรูปการคลังที่น่าเชื่อถือคือทางออกเดียว

SCB EIC ประเมินว่าไทยยังมีทางรอดจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีจุดแข็งหลายมิติที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือยอมรับ เช่น เสถียรภาพต่างประเทศเข้มแข็ง สะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาแม้จะมีแนวโน้มชะลอลงบ้าง ธนาคารมีสถานะทางการเงินเข้มแข็งแม้หนี้ครัวเรือนสูง อัตราเงินเฟ้อและคาดการณ์เงินเฟ้อต่ำ โดยภาครัฐจำเป็นต้องผลักดันการปฏิรูปการคลังให้การขาดดุลงบประมาณให้ลดลงผ่านทั้งการปฏิรูปรายจ่ายและรายได้ ในด้านรายจ่ายภาครัฐจะต้องใช้งบประมาณให้คุ้มค่า ลดนโยบายประชานิยม เน้นใช้จ่ายตรงกลุ่มเป้าหมายประสิทธิผลสูง เน้นใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ พัฒนากลไกลดทุจริตรั่วไหล รวมถึงส่งเสริมการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) ในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ สำหรับด้านรายได้ ประเทศไทยต้องขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลรายได้ประชากรผ่านการเชื่อมโยงด้วยระบบดิจิทัล และที่สำคัญภาครัฐจะต้องสื่อสารถึงความพยายามในการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง โดยมีแผนการปฏิรูปแต่ละด้านที่ชัดเจนและสามารถทยอยทำให้เห็นผลจริงเป็นรูปธรรมได้ในระยะสั้น-ปานกลาง เป็นที่ยอมรับของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งหากทำสำเร็จก็สามารถลดความเสี่ยงที่ไทยจะถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือลงได้ ทั้งนี้การปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลงนับเป็นสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ภาครัฐควรใช้โอกาสนี้ในการผลักดันนโยบายเสริมสร้างเสถียรภาพการคลังและศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยอย่างยั่งยืน


________
เผยแพร่ใน Thairath money วันที่ 5 ตุลาคม 2025

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ