สกุลเงินร่วม BRICS : ความท้าทายบนเส้นทางสู่ระเบียบการเงินใหม่
ท่ามกลางกระแสลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ความร่วมมือทางการเงินที่อาจนำไปสู่สกุลเงินใหม่ในกลุ่มประเทศ BRICS จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
แนวโน้มลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ (Dedollarization) กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนในระบบการเงินโลก ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างมหาอำนาจ และความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบการเงินโลกที่ขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก โดยสัดส่วนของดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกปรับลดลงจาก 71% ในปี 1999 เป็น 58% ในปี 2567 การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนความต้องการของประเทศต่าง ๆ ในการลดความเสี่ยงทางการเงิน ทั้งจากระบบชำระเงินที่พึ่งพาดอลลาร์สหรัฐและการถือสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่มีความผันผวนสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ ที่ลดลง
ท่ามกลางกระแสลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ความร่วมมือทางการเงินที่อาจนำไปสู่สกุลเงินใหม่ในกลุ่มประเทศ BRICS จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยกลุ่ม BRICS ประกอบไปด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ พร้อมด้วยสมาชิกใหม่อย่างซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, อียิปต์, อินโดนีเซีย, เอธิโอเปีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีขนาดรวมกันคิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของ GDP โลก และมีประชากรรวมคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก ด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มหาศาล กลุ่ม BRICS จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่กลุ่มที่มีทรัพยากรและอิทธิพลเพียงพอในการพัฒนาระบบการเงินทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับระบบการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการสร้างสกุลเงินร่วมมีมากกว่าโอกาสที่จะเป็นจริงได้ จึงทำให้กลุ่มนี้หันไปพัฒนาทางเลือกที่ปฏิบัติได้จริงมากกว่า เช่น การใช้สกุลเงินท้องถิ่นและระบบชำระเงินทางเลือก
ศักยภาพและความสนใจต่อการพัฒนาทางเลือกที่จะลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐหรือระบบชำระเงินระหว่างประเทศที่มีดอลลาร์สหรัฐเป็นศูนย์กลาง ในกลุ่ม BRICS นี้ ได้สร้างความกังวลให้แก่สหรัฐฯ อยู่บ้าง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เคยออกมาประกาศเตือนว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุดถึง 100% สำหรับประเทศที่พยายามลดการใช้ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ มาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal tariff) ก็มีแนวโน้มที่จะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศ BRICS ในระดับสูง โดยอัตราที่ประกาศกับจีน, อินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้ อยู่สูงถึง 30-50% (ณ สิงหาคม 2568 โดยสหรัฐฯ ยังคว่ำบาตรทางการค้ากับรัสเซียอยู่) การใช้มาตรการทางการค้าที่เข้มงวดกว่าชาติอื่นถือเป็นการยืนยันทางอ้อมว่ากลุ่ม BRICS มีน้ำหนักทางเศรษฐกิจและการเมืองเพียงพอที่จะขึ้นมาท้าทายความเป็นผู้นำทางการเงินของสหรัฐฯ
ความท้าทายของการสร้างสกุลเงินร่วม
ความท้าทายในการสร้างสกุลเงินร่วมที่สำคัญ คือ ความสอดคล้องกันของวัฏจักรเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ เพราะการใช้สกุลเงินร่วมกันต้องมีธนาคารกลางเดียวเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินเดียวกันสำหรับทุกประเทศ แต่ปัญหาอาจเกิดขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมกับประเทศหนึ่งอาจไม่เหมาะกับอีกประเทศหนึ่ง เช่น ประเทศที่เผชิญปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงอาจจำเป็นต้องมีอัตราดอกเบี้ยสูง ขณะที่ประเทศที่เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจำเป็นต้องมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้น สกุลเงินร่วมจึงเหมาะกับกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ ประเทศที่จะใช้สกุลเงินร่วมกันยังต้องมีกลไกเชิงสถาบันที่ช่วยให้แรงงานและเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศได้อย่างเสรี และต้องมีระบบการช่วยเหลือทางการเงินระหว่างสมาชิกเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งเผชิญปัญหา
ประสบการณ์ของสหภาพยุโรปเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของการสร้างสกุลเงินร่วมคือเงินยูโร บนข้อได้เปรียบพื้นฐาน ทั้งประวัติศาสตร์ความร่วมมือที่ยาวนาน ความใกล้เคียงทางวัฒนธรรม และโครงสร้างสถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระบวนการสร้างสกุลเงินยูโรต้องใช้เวลาหลายทศวรรษในการเตรียมความพร้อม ผ่านการบูรณาการทางเศรษฐกิจและการสร้างสถาบันร่วม รวมถึงการกำหนดเงื่อนไขทางการเงินที่เข้มงวดก่อนที่แต่ละประเทศจะสามารถใช้เงินยูโรร่วมกันได้จริง
อย่างไรก็ตาม วิกฤติหนี้ในยุโรปหลังปี 2551 แสดงให้เห็นข้อจำกัดพื้นฐานของการใช้สกุลเงินร่วม เมื่อบางประเทศจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะถดถอย แต่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กำหนดนโยบายการเงินเดียวกันสำหรับทั้งยูโรโซน ทำให้ประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจขาดอิสระในการบริหารจัดการปัญหาเศรษฐกิจของตนเองด้วยนโยบายการเงิน วิกฤตในยุโรปนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อประเทศต่าง ๆ มีวัฏจักรเศรษฐกิจแตกต่างกัน นโยบายการเงินเดียวกันภายในกลุ่มอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาของทุกประเทศได้พร้อมกัน
สกุลเงินร่วมอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับ BRICS
จะได้เห็นว่า แม้แต่ยูโรโซนที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจคล้ายกันค่อนข้างมากยังประสบปัญหาการใช้สกุลเงินร่วม ดังนั้น ความแตกต่างทางเศรษฐกิจของกลุ่ม BRICS จึงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยกลุ่ม BRICS มีความแตกต่างทางโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ตั้งแต่ซาอุดีอาระเบีย (รายได้สูง) จีนและรัสเซีย (รายได้ปานกลางบน) อียิปต์และอินเดีย (รายได้ปานกลางล่าง) จนถึงเอธิโอเปีย (รายได้ต่ำ) นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจแล้ว ความแตกต่างในระดับการพัฒนาทางการเงิน ความซับซ้อนของตลาดทุนและระบบธนาคาร ยิ่งทำให้การบูรณาการระบบการเงินระหว่างประเทศมีความท้าทายสูงเช่นกัน
นอกจากนี้ ความร่วมมือของกลุ่ม BRICS เกิดจากการรวมตัวของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่ต้องการสร้างเวทีหารือทางเศรษฐกิจและการเมืองเพิ่มเติมจากความร่วมมือเดิม ๆ ที่มีชาติตะวันตกเป็นศูนย์กลาง โดยกลไกหลักของกลุ่มคือการประชุมสุดยอดประจำปีและการสร้างสถาบันร่วมบางประการ เช่น ธนาคารพัฒนาใหม่ (New Development Bank) อย่างไรก็ตาม ลักษณะของความร่วมมือใน BRICS มุ่งเน้นการประสานงานมากกว่าการรวมตัวกันในเชิงนโยบาย ซึ่งแตกต่างจากสหภาพยุโรปที่มีการบูรณาการสูงและมีเป้าหมายในการสร้างสกุลเงินร่วมที่ชัดเจน ขณะที่กลุ่ม BRICS ยังไม่มีสถาบันกลางที่มีอำนาจบังคับใช้กับแต่ละประเทศสมาชิก และไม่มีกฎหมายร่วม การตัดสินใจด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเงินยังคงอยู่ในระดับรัฐบาลแต่ละประเทศ และไม่มีการมอบอำนาจส่วนกลางในด้านนโยบายเศรษฐกิจหรือการเงิน ดังนั้น หากดูจากระดับความร่วมมือกันของ BRICS ในปัจจุบันยังคงห่างไกลจากการสร้างสกุลเงินร่วมอยู่มาก
BRICS มองระบบชำระเงินทางเลือกและการใช้สกุลเงินท้องถิ่น
ข้อจำกัดด้านโครงสร้างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นในวาระการประชุมของกลุ่ม BRICS ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีการหารือเรื่องระบบการเงินระหว่างประเทศในหลายการประชุม BRICS Summit แต่เนื้อหาในการประชุมส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างกัน หรือการใช้ระบบชำระเงินทางเลือกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาติตะวันตกแทน โดยรัฐบาลบราซิลในฐานะประธาน BRICS ในปี 2568 ได้ประกาศว่าไม่มีแผนการสำคัญใด ๆ เพื่อสร้างสกุลเงินร่วม BRICS แต่จะเน้นไปที่การใช้สกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละประเทศสมาชิก และระบบชำระเงินข้ามพรมแดนแทน
แม้แนวคิดสกุลเงินร่วมอาจไม่ได้เป็นเป้าหมายหลัก แต่สมาชิกแต่ละประเทศก็ยังคงมีความพยายามในการสร้างทางเลือกแทนระบบการเงินที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานที่นำโดยเศรษฐกิจประเทศโลกตะวันตก ซึ่งได้แก่ระบบ SWIFT โดยธนาคารส่วนใหญ่ทั่วโลกพึ่งพาระบบนี้ในการสื่อสารคำสั่งโอนเงินระหว่างประเทศ ความจำเป็นที่จะต้องมีระบบทางเลือกเห็นได้ชัดจากกรณีของรัสเซียที่ถูกตัดขาดจากระบบ SWIFT ในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน การค้ากับจีนเกือบทั้งหมดในช่วงปี 2566 ต้องเปลี่ยนมาชำระเงินเป็นหยวน-รูเบิล และต้องใช้รูปี-รูเบิลในการซื้อขายน้ำมันกับอินเดีย แสดงให้เห็นว่าการถูกตัดจากระบบการชำระเงินของตะวันตกสามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อความสามารถในการค้าระหว่างประเทศ
ในการรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าว สมาชิก BRICS ได้ลงนามข้อตกลงการค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่นหลายคู่ เช่น จีน-บราซิล, อินเดีย-รัสเซีย และจีน-รัสเซีย นอกจากนี้ จีนยังมีบทบาทนำในการพัฒนาระบบ CIPS (Cross-border Interbank Payment System) ซึ่งช่วยให้สามารถชำระเงินข้ามประเทศเป็นหยวนได้โดยตรงแทนที่จะต้องชำระผ่านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ระบบนี้ยังคงต้องอาศัยเครือข่าย SWIFT สำหรับส่งข้อความระหว่างธนาคารเป็นหลักอยู่ดี
สำหรับการพัฒนาระบบการชำระเงินของกลุ่ม BRICS มีโครงการ BRICS Pay ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างระบบชำระเงินที่ใช้เงินสกุลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ โดย BRICS Business Council และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2567 ในช่วงการประชุม BRICS Business Forum ที่มอสโก พร้อมมีการทดสอบใช้งานจริง
ในปัจจุบันแนวคิดสกุลเงินร่วม BRICS อาจดูไม่ค่อยเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ จากความแตกต่างพื้นฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจและระดับการพัฒนา กลุ่ม BRICS จึงหันไปพัฒนาทางเลือกที่ปฏิบัติจริงได้มากกว่า อาทิ การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าทวิภาคี การพัฒนาระบบชำระเงินทางเลือก และความร่วมมือทางการเงินในขอบเขตจำกัด แนวทางเลือกเหล่านี้แม้ไม่ได้สร้างระเบียบการเงินโลกใหม่ในทันที แต่สามารถลดการพึ่งพาระบบการเงินที่มีดอลลาร์สหรัฐเป็นศูนย์กลางได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจและข้อจำกัดของ BRICS มากกว่าแนวทางการสร้างสกุลเงินร่วมที่ซับซ้อนและต้องการเงื่อนไขเบื้องต้นหลายด้าน ซึ่งแต่ละประเทศอาจต้องใช้เวลาดำเนินการให้สอดคล้องก่อน
________
เผยแพร่ใน Thairath money วันที่ 6 กันยายน 2025