19% สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่อาจดูไม่แย่….. แต่แน่นอนว่าไม่ดี
แม้ไทยจะเจรจาลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เหลือ 19% ได้สำเร็จ แต่ยังเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการสวมสิทธิ์ การแข่งขันด้านต้นทุน และ Import flooding
หากลองจินตนาการว่าคุณกำลังป่วย แพทย์บอกว่าคุณมีแนวโน้มจะเป็นโรคร้ายถึงชีวิตได้ แต่สุดท้ายผลตรวจออกมาว่าคุณเป็นโรคร้ายแรงที่ยังพอมีทางรักษา คำถามคือคุณจะรู้สึกอย่างไร? เชื่อว่าความรู้สึกแวบแรกของคุณคงดีใจ เพราะอย่างน้อยผลออกมาไม่ใช่กรณีเลวร้ายสุดที่คิดไว้ และอาจวางใจในสุขภาพตัวเอง จนลืมไปว่าความจริงแล้วคุณยังเป็นคนป่วยโรคร้ายแรงที่ยังต้องต่อสู้กับเส้นทางการรักษาอีกนาน แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นแค่เรื่องสมมติ แต่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยหลังเจรจาขอลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ลงจาก 36% เหลือ 19% ที่ “ดูเหมือน” จะเป็นข่าวดี
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2025 ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) ทำเนียบขาวเผยแพร่คำสั่งฝ่ายบริหาร เก็บศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) อัตราใหม่กับ 72 ประเทศทั่วโลกในอัตรา 10 – 50% เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 2025 คู่ค้าสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ได้ลดอัตราภาษีตอบโต้ลงจากที่สหรัฐฯ เคยประกาศไว้ในช่วงก่อนหน้า ช่วยให้บรรยากาศและโอกาสเกิดกรณีเลวร้ายของการค้าโลกลดลงบ้าง อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่าความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้ายังคงมีอยู่มาก ทั้งจากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศที่ยังไม่สิ้นสุดลง ตลอดจนภาษีรายสินค้า (Product specific tariff หรือ Sectoral tariff) ที่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อประกาศใช้ภาษีรายสินค้าเพิ่มเติมอีกหลายชนิด จะยังเป็นปัจจัยกดดันการค้าและการลงทุนโลกอยู่ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกในช่วง 2 ปีข้างหน้าจะขยายตัวต่ำกว่าในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับประเทศไทยที่สหรัฐฯ ลดกำแพงภาษีตอบโต้ลงเหลือ 19% เกาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียนที่เจรจาสหรัฐฯ สำเร็จในเบื้องต้นแล้ว และได้อัตราต่ำกว่าจีนที่เสีย 30% อาจลดความกังวลว่าไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ อย่างรุนแรงให้กับเพื่อนบ้านอาเซียนและจีนไปได้บ้าง รวมถึงข้อเสนอใหม่ (ตามข่าว) ที่รัฐบาลไทยยื่นให้สหรัฐฯ โดยคำนึงรูปแบบการเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการจากการเปิดตลาด จนดูเหมือนว่าผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ทั้งหมดนี้พอจะเป็นข่าวดีที่หลายคนอาจคิดว่า จะช่วยเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านวิกฤตสงครามการค้าครั้งนี้ไปได้
ในความเป็นจริงเหรียญมีสองด้าน ถ้าหากพิจารณาเพียงผิวเผินแน่นอนว่าอัตราภาษีของไทย 19% ย่อมต้องดีกว่า 36% ที่ไทยเกือบโดนเรียกเก็บในตอนแรก ส่งผลดีและลดแรงกดดันไปบ้าง แต่อีกด้านของเหรียญยังมีความเสี่ยงที่จะตามมาและเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะ 3 ประเด็นเสี่ยงดังนี้
1. ภาษีสวมสิทธิ (Transshipment) และการตรวจสอบแหล่งกำเนิดเข้มงวดขึ้น
ประเด็นเสี่ยงแรกนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงและต้องติดตาม โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ จะเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงขึ้นกับสินค้าที่มีลักษณะสวมสิทธิ หรือมีสัดส่วนการพึ่งพาวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตจากการนำเข้าในระดับสูง (High-import content) กฎระเบียบเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันการ “เลี่ยงภาษี” จากประเทศที่ถูกตั้งกำแพงสูง เช่น จีน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเองเป็นหนึ่งในประเทศที่ภาคการผลิตพึ่งพาการนำเข้าสูงขึ้นมาก โดย SCB EIC ประเมินว่า ธุรกิจการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเกือบ 3,000 แห่งทั่วประเทศ อาจดำเนินกิจการภายใต้โมเดลการค้าแบบซื้อมา–ขายไป และมีความเป็นไปได้ว่าบางส่วนจะเข้าข่ายกิจกรรมสวมสิทธิ ส่งผลให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างมูลค่าการส่งออกกับกิจกรรมการผลิตเพื่อส่งออกจากโรงงานภายในประเทศ
ดังนั้น เมื่อสหรัฐฯ เริ่มจัดเก็บภาษีสวมสิทธิในรูปแบบเจาะจงอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ประกอบการไทยบางกลุ่มอาจจะถูกเหมารวมและเผชิญมาตรการในลักษณะเดียวกันได้ แม้จะดำเนินกิจการในรูปแบบปกติ อาทิ อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้าในระดับสูง เช่น แผงวงจรไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และแผงโซลาร์เซลล์ ที่อาจมีแนวโน้มจะเผชิญกับต้นทุนการค้ากับสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น จากทั้งมาตรการทางภาษีและมาตรการแหล่งกำเนิดสินค้าที่จะยิ่งเข้มงวดมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อทิศทางการลงทุนและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในระยะข้างหน้า
2. การแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ
เมื่ออัตราภาษีสินค้าไทยใกล้เคียงคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ ปัจจัย “ต้นทุนภาษีนำเข้า” อาจไม่ใช่ข้อได้เปรียบระหว่างกัน การแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ จึงกำลังเปลี่ยนไปสู่การแข่งขันกันที่ประสิทธิภาพและการลดต้นทุน เพื่อเป็นกันชนในการรองรับการถูกต่อรองหรือกดดันราคาสินค้าจากผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อ Margin ของผู้ประกอบการไทยโดยตรง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องแข่งขันโดยตรงกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่มีโครงสร้างต้นทุนแรงงานต่ำกว่าไทย ในขณะที่เม็กซิโกได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์และสิทธิภาษีภายใต้ความตกลง USMCA สิ่งเหล่านี้ทำให้คู่แข่งอาจชิงความได้เปรียบในความสามารถที่เสนอต้นทุนและเงื่อนไขด้านราคาที่ต่ำกว่าได้
3. แรงกดดันจากสินค้าล้นตลาดและมาตรการปกป้องตลาดทั่วโลก
ประเด็นความเสี่ยงสุดท้ายคือการทุ่มตลาดและการเข้ามาตีตลาดของสินค้าจากต่างประเทศ (Import flooding) ที่เกิดจากปัญหาสินค้าเกินความต้องการที่หลายประเทศต้องระบายออกมาสู่ประเทศคู่ค้าอื่น จากที่เคยส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะปัญหาสินค้าล้นตลาดจากจีนที่ไทยเองเริ่มเห็นถึงปัญหานี้มากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากสินค้าจีนถูกกีดกันจากตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะที่อุปสงค์ในประเทศจีนเองยังซบเซา ส่งผลให้สินค้าจีนถูกกระจายไปขายตลาดอื่นทดแทน รวมถึงไทยอาจเห็นการนำเข้าสินค้าจีนสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันไทยนำเข้าจากจีนเป็นตลาดอันดับหนึ่ง สัดส่วนราว 1 ใน 4 ของมูลค่านำเข้ารวมของไทย
นอกจากนั้น หลายประเทศจะต้องเร่งใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ (Protectionism) เพื่อรับมือผลกระทบของสงครามการค้า ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) หรือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) เช่น มาตรฐานสิ่งแวดล้อมและข้อกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้า ที่พูดถึงมากขึ้นทั้งจาก สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่เดินหน้านโยบายปกป้องการค้าเชิงรุก โดยเพิ่มภาษีและตั้งข้อกำหนดเข้มงวดกับสินค้านำเข้าหลายประเภท ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล ต่างเพิ่มโควตาหรือภาษีนำเข้าสินค้าสำคัญเพื่อคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ ส่งผลให้ตลาดโลกแข่งขันยากขึ้น และสร้างแรงกดดันให้ผู้ส่งออกไทยต้องปรับตัว ทั้งในด้านต้นทุน การผลิต และมาตรฐานสินค้า
ในภาพรวมสงครามการค้ารอบใหม่จะยังเป็นปัจจัยสำคัญกดดันเศรษฐกิจและการค้าโลกในระยะข้างหน้าให้ชะลอตัวลงกว่าในอดีต ส่งผลโดยตรงต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การพึ่งพาโมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่อาศัยการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลักอาจทำได้ยากขึ้น ภาครัฐ ธุรกิจ รวมถึงแรงงานจำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และไม่นิ่งนอนใจจนลืมไปว่าตัวเลขภาษี 19% นี้ หมายถึงสินค้าที่ไทยส่งไปสหรัฐฯ อาจขายราคาแพงขึ้นกว่าเดิมมากสุดได้ถึง 19% ถ้าผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ส่งผ่านอัตราภาษีไปสู่ผู้บริโภคอย่างเต็มที่ และหากแม้จะไม่ใช่เพิ่มขึ้น 36% แต่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ที่อาจปรับลดลงได้
________
เผยแพร่ในเว็บไซต์ Workpointtoday และเพจ TODAY Bizview เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2025