Why Thailand Faces More Risk Opening Its Market to the U.S. than Vietnam ทำไมไทยเปิดตลาดให้สหรัฐฯ อาจเสี่ยงกว่าเวียดนาม?
ในระยะยาว ภาครัฐควรเร่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
When you open up to trade, the overall economic pie gets bigger…That doesn’t mean that everybody ends up with a bigger slice. So, there’re winners and losers… - Greg Mankiw, Harvard Professor
ท่ามกลางการค้าโลกที่ไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ หลายประเทศต่างยื่นข้อเสนอหลายรูปแบบเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ให้เร็วที่สุด เพื่อลดความไม่แน่นอนและลดผลกระทบของกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออก เนื่องจากพึ่งพาสหรัฐฯ สูงจากตลาดขนาดใหญ่ คนอเมริกันมีกำลังซื้อสูง
เวียดนามและอินโดนีเซียเป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ก่อน โดยยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ทั้งหมด (Full Access) ลดภาษีนำเข้า (Tariffs) สินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% ทุกรายการ และยกเลิกมาตรการการกีดกันค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariffs Barriers: NTBs) เพื่อแลกกับการขอลดอัตราภาษีตอบโต้ลงไปได้มากกว่าครึ่งของอัตราเดิม รวมถึงยอมให้สหรัฐฯ เก็บภาษี Transshipment (ภาษีนำเข้าสินค้าที่มีขั้นตอนการผลิตโดยใช้สินค้าจากห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศต่ำ) ซึ่งข้อตกลงเช่นนี้ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการเจรจากับสหรัฐฯ ให้ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนไปด้วย
สำหรับไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ ยอมเปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าข้อเสนอรอบแรก (จากเดิมเสนอ 64% เพิ่มเป็นราว 90% ของสินค้านำเข้าสหรัฐฯ โดยยังเหลือในส่วนของสินค้าเกษตรสำคัญ) เพื่อแลกกับการขอลดอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ ตั้งใจจะเรียกเก็บไทยสูงถึง 36% เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาคส่งออกไทยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงถึง 18% ของมูลค่าส่งออกไทยทั้งหมดในปี 2024
SCB EIC มองว่า หากไทยยอมเปิดตลาดสินค้าทั้งหมดให้สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศมากกว่าเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าแรกในโลกที่ยอมให้สหรัฐฯ ด้วยเหตุผล 2 ข้อสำคัญ คือ
1. ไทยมีกำลังซื้อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สูงกว่าเวียดนาม
กำลังซื้อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ของคนไทยที่สูงกว่า อาจทำให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าไทยและกระทบผู้ผลิตภายในประเทศและการจ้างงานมากกว่า โดยหากพิจารณาข้อมูลอัตราภาษีนำเข้าที่บังคับใช้จริง (Effective Applied Tariff Rate: EATR) จาก World Integrated Trade Solution (WITS) ในปี 2022 ที่ไทยและเวียดนามคิดกับหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) ของสหรัฐฯ พบว่าทั้งไทยและเวียดนามปกป้องตลาดสินค้าหมวดนี้ในอัตราใกล้กันราว 10-11% อย่างไรก็ตาม ไทยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐฯ สูงกว่าเวียดนามเกือบ 2 เท่า สะท้อนว่า แม้ไทยจะปกป้องตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศจากสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษีใกล้เคียงเวียดนาม แต่คนไทยมีกำลังซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐฯ มากกว่า (รูปที่ 1) โดยรายได้เฉลี่ยลูกจ้างไทยสูงกว่าลูกจ้างในเวียดนามกว่า 50% ข้อมูล ณ ไตรมาส 1/2025 พบว่าลูกจ้างไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 16,000 บาท ขณะที่ลูกจ้างเวียดนามมีรายได้เฉลี่ยเพียง 10,500 บาทต่อเดือน
2. ไทยปกป้องตลาดภายในประเทศมากกว่า
หากเปรียบเทียบอัตราภาษีนำเข้าที่บังคับใช้จริง (EATR) ของการนำเข้ารวม รายหมวด และรายกลุ่มสินค้าที่ไทยและเวียดนามเก็บสินค้าสหรัฐฯ พบว่า ไทยเก็บภาษีสหรัฐฯ สูงกว่าเวียดนามเกือบทั้งหมด สะท้อนการปกป้องตลาดภายในประเทศสูงกว่า ในภาพรวมไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ (เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก) สูงถึง 6.2% ขณะที่เวียดนามเก็บเพียง 2.8% และถ้าดูรายหมวดพบว่า ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าเวียดนามมากถึง 3 ใน 4 หมวด โดยมีแค่สินค้าวัตถุดิบ (Raw materials) เท่านั้นที่ไทยเก็บสหรัฐฯ น้อยกว่าเวียดนาม และหากพิจารณารายกลุ่มสินค้าพบว่า 12 จาก 16 กลุ่มสินค้าที่ไทยเก็บภาษีสหรัฐฯ สูงกว่าเวียดนาม (รูปที่ 1) โดยเฉพาะสินค้าเกษตร (กลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการให้เปิดตลาดสูง) เช่น ผักและเนื้อสัตว์ที่ EATR ของไทยที่เก็บจากสหรัฐฯ สูงถึง 38% และ 44.3% และไทยเก็บอัตราภาษีสูงสุดบางรายการมากถึง 218% เทียบกับ EATR ของเวียดนามที่เก็บจากหมวดสินค้าผักและเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ แค่ 4.6% และ 9.5% ตามลำดับ และเก็บอัตราภาษีสูงสุดแค่ 40%
นอกจากมาตรการภาษีนำเข้าแล้วประเทศไทยยังปกป้องตลาดในประเทศจากสินค้าสหรัฐฯ ด้วยมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTBs) มากกว่าเวียดนามอีกด้วย สะท้อนจากข้อมูล 2 แหล่งคือ
· United States Trade Representative (USTR) : จากรายงาน National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers โดย USTR เผยแพร่ล่าสุดต้นปี 2025 SCB EIC สรุปได้ว่า ไทยใช้มาตรการ NTBs กับสินค้าจากสหรัฐฯ มากกว่าเวียดนาม โดยเฉพาะการควบคุมการนำเข้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) ซึ่งมักใช้กับเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์เกษตร และกระบวนการศุลกากรที่ซับซ้อน เช่น ไทยยังคงห้ามนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารแรคโตพามีน จำกัดการนำเข้าสินค้าเครื่องในวัว ไม่ออกใบอนุญาตนำเข้าน้ำมันเอทานอลสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงเลยนับตั้งแต่ปี 2005 และการตรวจสอบโรงงานผลิตในประเทศผู้ส่งออกทุก ๆ 5 ปี ขณะที่เวียดนามใช้ NTBs ในภาคบริการและดิจิทัลมากกว่า รวมถึงข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูลในประเทศ กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ และข้อจำกัดต่อผู้สื่อสารหรือเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) เช่น YouTube และบริการทางการเงินจากต่างประเทศ การจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในธนาคารท้องถิ่น
· United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD) : จากข้อมูล NTBs ที่ไทยและเวียดนามกำหนดต่อสินค้าสหรัฐฯ โดยตรง (ไม่ได้บังคับใช้ทั่วโลก) รวบรวมโดย UNCTAD พบว่า ไทยใช้ NTBs กับสินค้าสหรัฐฯ มากถึง 177 รายการ โดย 174 เป็นมาตรการปกป้องสินค้าเกษตรไทย ขณะที่เวียดนามใช้ NTBs กับสินค้าสหรัฐฯ แค่ 10 รายการ และไม่ได้ออกมาตรการกีดกันสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ แม้แต่ฉบับเดียว
อาจกล่าวได้ว่า ไทยใช้มาตรการปกป้องสินค้าภายในประเทศสูงกว่าเวียดนามมาก ทั้งมาตรการภาษีและไม่ใช่ภาษี สะท้อนว่าผู้ผลิตไทยได้รับความช่วยเหลือจากการกีดกันการค้าในปัจจุบันมากกว่า ดังนั้น การเปิดตลาดสินค้าทั้งหมดให้สหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มกระทบต่อผู้ผลิตและแรงงานภายในประเทศมากกว่า โดยเฉพาะภาคเกษตร แม้ไทยและเวียดนามจะมีโครงสร้างตลาดแรงงานที่มีสัดส่วนแรงงานเกษตรราว 30% ของแรงงานทั้งหมดคล้ายกัน
เหรียญสองด้านของการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ
แม้การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ จะส่งผลลบต่อผู้ผลิตในประเทศบางกลุ่มที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่า และอาจแข่งขันด้านราคาสู้ไม่ได้ แต่การเปิดตลาดอาจส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยหลายด้านที่ต้องพิจารณาเช่นกัน
· ลดผลกระทบกำแพงภาษีสูงของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ช่วยเพิ่มโอกาสที่ไทยจะปิดดีลกับสหรัฐฯ และสามารถต่อรองให้อัตราภาษีตอบโต้ลดลงหรือใกล้เคียงคู่แข่งในภูมิภาคได้ ซึ่งจะช่วยไม่ให้สินค้าออกของไทยโดยรวมเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ (Income effect และ Substitution effect) นอกจากนี้ การปิดดีลการค้ากับสหรัฐฯ ได้จะสร้างความแน่นอนด้านนโยบายการค้าสหรัฐฯ ให้กับประเทศไทย และเพิ่มความเชื่อมั่นด้านภาพลักษณ์ให้นักลงทุนได้
· ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตบางอุตสาหกรรม เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศอาจมีทางเลือกในการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าทุน เช่นเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯ เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตได้ถูกกว่าทางเลือกในปัจจุบัน อีกทั้ง ยังเป็นการเร่งให้บางอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการแข่งขันไม่สูงต้องเริ่มปรับตัว และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้อยู่รอดในตลาดโลกที่แข่งขันสูงขึ้นได้ ทั้งจากสินค้าสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจะช่วยสร้างผลบวกให้ผู้ผลิตไทยในระยะยาว แต่จะส่งผลลบในระยะสั้น สะท้อนความจำเป็นของมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ผลิตภายในประเทศ
· ผู้บริโภคไทยได้ใช้สินค้าคุณภาพดีจากสหรัฐฯ ในราคาถูกลง อย่างไรก็ตาม ไทยอาจเผชิญความเสี่ยงความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาวได้ เนื่องจากบางสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มอ่อนไหวสูงต่อการเปิดตลาด เช่น อุตสาหกรรมสุกร ไก่เนื้อ และข้าวโพดของไทย ที่อาจไม่สามารถแข่งขันสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ได้ เพราะต้นทุนการผลิตสูงกว่าและอาจต้องปิดตัวลง
SCB EIC มองว่า แม้การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ อาจส่งผลบวกต่อไทยในหลายมิติ แต่ก็ส่งผลลบให้กับไทยหลายด้าน และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะผู้ได้รับกระทบอาจมีจำนวนมาก ดังนั้น ในระยะสั้นภาครัฐควรประเมินผลดีและผลเสียของการเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ ให้รอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าข้อตกลงการเจรจากับสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อไทยน้อยที่สุด โดยเจรจาบนหลักความสมดุลเป็นหลัก ทั้งประโยชน์ที่ได้จากภาษีที่ขอลดลงและผลกระทบต่อผู้ประกอบการ อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรเตรียมพร้อมเยียวยาผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบ สำหรับในระยะยาว ภาครัฐควรเร่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น ส่งเสริมการปรับกระบวนการผลิตตอบโจทย์เทรนด์โลกใหม่ การใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมการผลิตทันสมัยเข้ามาช่วย และพัฒนาศักยภาพแรงงาน
ในท้ายที่สุด ผู้เขียนมองว่า เกมการเจรจาภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ นี้จะมีผู้ชนะเพียงฝ่ายเดียว (The Only Winner) เพราะสหรัฐฯ จะได้ข้อตกลงการค้าจาก Bilateral agreement ที่ดีกว่าข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ในรูปของการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ โดยลดหรือยกเลิกมาตรการภาษีและมิใช่ภาษีให้มากขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ สามารถตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นกับทุกประเทศในอัตราสูงขึ้นมากจากเดิม ดังนั้น There is no win-win outcome in this trade talk!
________
เผยแพร่ในวารสารการเงินธนาคารคอลัมน์เกร็ดการเงินประจำเดือนสิงหาคม 2025