SHARE

Challenges to Thai Consumption : การบริโภคภาคเอกชนของไทย กับปัจจัยกดดันในระยะข้างหน้า

การบริโภคภาคเอกชนของไทยเคยเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจหลัง COVID-19 แต่เริ่มชะลอตัวในปี 2024 และคาดว่าจะลดลงอีกในปี 2025

“Americans reading the paper, listening to the news every single day, and all you hear is things are getting worse and worse. And that has a psychological effect on consumer confidence. That’s what consumer confidence is.”

Howard Schultz, Former CEO of Starbucks

การบริโภคภาคเอกชนของไทย

การบริโภคภาคเอกชนของไทยในช่วงที่ผ่านมานับเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤต COVID-19 โดยในปี 2022 และ 2023 การบริโภคภาคเอกชนไทยขยายตัวสูงถึง 6.2%YOY และ 7.1%YOY ตามลำดับ และยังขยายตัวดีต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ส่วนหนึ่งจากแรงส่งภาคบริการที่ฟื้นตัวดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนในระยะข้างหน้าจะเผชิญแรงกดดันมากขึ้น และเริ่มเห็นสัญญาณที่แผ่วลงจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้การบริโภคภาคเอกชนไทยที่เคยเป็น “พระเอก” ของเศรษฐกิจอาจโดนลดบทบาทลงและขยายตัวได้น้อยลงในระยะข้างหน้า โดย SCB EIC ประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนของไทยปี 2024 จะขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 3.7% และในปี 2025 จะเติบโตชะลอลงจากปีนี้ อยู่ที่ 2.4% (ตัวเลขประมาณการ ณ ก.ย. 2024) จาก

(1) ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน 

ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงตามยอดจำหน่ายและนำเข้าสิ่งทอที่ไม่ใช่เสื้อผ้าลดลง และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนปรับตัวลดลง 6 เดือนติดต่อกัน โดยปรับตัวลดลงทั้งยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะ และยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของสถาบันการเงิน และผู้บริโภคบางส่วนรอดูสถานการณ์การปรับลดราคารถยนต์ รวมถึงการใช้จ่ายหมวดบริการที่ขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยตามจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่ลดลง

private-consumption-01.png

 

อย่างไรก็ดี แม้การบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปี 2024 มีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาทในระยะแรกให้กับกลุ่มเปราะบางที่ได้ดำเนินการแล้ว แต่ SCB EIC มองว่าโครงการนี้มีผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเม็ดเงินทั้งหมดอาจไม่ได้ใช้จ่ายเข้าสู่เศรษฐกิจโดยตรง สะท้อนจากผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey ที่พบว่า ผู้ได้รับสิทธิบางส่วนจะนำเงินไปออมหรือชำระหนี้ รวมถึงใช้จ่ายเงินนี้แทนรายจ่ายปกติที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในเฟส 2 ที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2025 ยังมีความไม่แน่นอนสูง

(2) การฟื้นตัวของค่าจ้างแรงงาน 

การฟื้นตัวของค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงปรับลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อาทิ การผลิตในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง และภาคบริการ ขณะที่แม้ว่าค่าจ้างที่แท้จริงในภาคเกษตร ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ในระยะข้างหน้ารายได้ภาคเกษตรมีแนวโน้มกลับมาหดตัวในปี 2025 เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรมีทิศทางลดลงจากปริมาณข้าวโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และอินเดียอาจผ่อนคลายนโยบายควบคุมการส่งออกข้าว นอกจากนี้ ภาคบริการท่องเที่ยวในระยะต่อไปยังมีปัจจัยกดดันจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์ที่ยังไม่กลับมา รวมถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยยังส่งผลต่อการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทย โดยเกือบครึ่งมีการลดหรืองดการท่องเที่ยวในประเทศเมื่อมีภาระค่าใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น  (รูปที่ 2 ทางขวา)

private-consumption-02.png

(3) สินเชื่ออุปโภคบริโภค 

สินเชื่ออุปโภคบริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ตามคุณภาพของสินเชื่อที่ยังน่ากังวล โดยผลสำรวจภาวะและแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสที่ 2 ปี 2024 จากธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า สถาบันการเงินมีมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อครัวเรือนทุกประเภทเข้มงวดขึ้น เนื่องจากมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ เห็นได้จากสัดส่วน NPL ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง


private-consumption-03.png

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเปราะบางของภาคครัวเรือนที่เผชิญปัญหารายได้ฟื้นตัวช้า ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้นเร็ว รวมไปถึงภาระหนี้สูง และมีแนวโน้มจะกลายเป็นปัญหาหนี้สะสมในระยะยาว จากผลสำรวจ SCB EIC Consumer Survey 2024 พบว่า โดยเฉลี่ยของกลุ่มคนในทุกระดับรายได้เกือบ 40% มีปัญหาในการจ่ายหนี้ และสัดส่วนคนมีปัญหานี้จะเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่มีรายได้ลดลง (รูปที่ 3 ซ้าย) โดยจะค้างชำระหนี้บ่อยครั้งหรือบางครั้ง และแม้ว่าจะชำระหนี้สม่ำเสมอแต่เป็นการชำระหนี้แบบขั้นต่ำ ส่งผลให้หนี้สินเพิ่มจากภาระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการชำระหนี้ไม่เต็มจำนวน ในระยะข้างหน้า สถาบันการเงินจึงมีแนวโน้มที่จะเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นอีก และจะกลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อการบริโภค แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ต.ค. ลง 0.25% เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของลูกหนี้

จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวไป ทั้งจากการฟื้นตัวของรายได้สวนทางกับค่าครองชีพ และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออุปโภคบริโภคของสถาบันการเงินจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและความสามารถในการชำระหนี้ยังมีปัญหา สะท้อนว่าในระยะข้างหน้าการบริโภคภาคเอกชนไทยแม้ไม่ได้หายไปแต่อาจไม่ได้ขยายตัวสดใสเหมือนที่ผ่านมา และจะยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจไทยที่จะหวังพึ่งพา “พระเอก” คนเก่าอาจจะทำได้ยากขึ้น หากไม่ได้มีการกระตุ้นการบริโภคอย่างเหมาะสมทั้งในระยะสั้น โดยการช่วยเสริมสภาพคล่องกลุ่มเปราะบางให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤต  ตลอดจนมาตรการกระตุ้นการบริโภคกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อผ่านมาตรการจูงใจทางภาษีในสินค้าและบริการบางกลุ่มที่มีแนวโน้มชะลอลง เช่น เครื่องแต่งกาย การรับประทานอาหารนอกบ้าน และค่าใช้จ่ายด้านความบันเทิง ที่ SCB EIC Consumer Survey 2024 พบว่า ผู้บริโภคกว่า 50% มีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่ายสินค้าและบริการเหล่านี้ในระยะ 1 ปีข้างหน้า (รูปที่ 3 ขวา) พร้อมกับพิจารณามาตรการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาและอาจเริ่มพัฒนาระบบการให้สินเชื่อที่คิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละรายเพื่อให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อตามความจำเป็นได้มากขึ้น ควบคู่กับนโยบายระยะยาวผ่านการสร้างรายได้ที่เพียงพอ ทั้งการเพิ่มมาตรการช่วยพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับการทำงานในปัจจุบันและความต้องการตลาดในอนาคต ตลอดจนการให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงินที่ถูกต้อง เพื่อให้การบริโภคภาคเอกชนของไทยไม่เพียงฟื้นตัวชั่วคราว แต่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน


________
เผยแพร่ในวารสารการเงินธนาคารคอลัมน์เกร็ดการเงินประจำเดือนพฤศจิกายน 2024

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ