ผู้เขียน: ดร.ชินวุฒิ์ เตชานุวัตร์ และธนัชพร นันทาภิวัธน์
แผนปฏิรูปเงินหยวนจีน
Yuan Convertibility Plan
ตีพิมพ์ในนิตยสารการเงินการธนาคาร ฉบับเดือนมิถุนายน 2556
Bloomberg News, "China Names Yuan Convertibility Plan as Goal This Year" (7th May 2013)
|
แผนปฏิรูปเงินหยวนจีนคืออะไร ?
แผนปฏิรูปเงินหยวนจีนหรือ Yuan Convertibility Plan เป็นหนึ่งในกระบวนการปฏิรูประบบการเงินของจีน ซึ่งได้มีการเริ่มต้นอย่างจริงจังในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 (The Twelfth Guideline, 2011-2015) เพื่อนำไปสู่สถานะที่เงินหยวนมีสภาพคล่องอย่างสมบูรณ์ มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง และสามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างสะดวกและเสรี (Full convertibility) ในการทำธุรกรรมทั้งการค้าและการลงทุนในตลาดโลก ซึ่งย่อมหมายถึงการมีอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นไปตามกลไกของตลาดโดยไม่มีการควบคุมจากรัฐ การปฏิรูปเงินหยวนเป็นเงื่อนไขสำคัญเบื้องต้นที่จะทำให้เงินหยวนเป็นหนึ่งในสกุลเงินสากล (International Currency) ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย และนานาชาติยังสามารถใช้เงินหยวนจีนเพื่อดำรงเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ(International Reserves) ได้ โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น คือการเปิดเสรีบัญชีทุน (Capital account convertibility: CAC) กล่าวคือมีการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศอย่างเสรี
ทำไมจีนจึงต้องมีแผนปฏิรูปเงินหยวน ?
จีนต้องการผลักดันให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินสากล เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจจีน เนื่องจากการใช้เงินหยวนในการทำธุรกรรมทางการเงินและค้าขายจะส่งผลให้สามารถชำระค่าสินค้าได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องผ่านสกุลเงินที่สาม และเพิ่มช่องทางการใช้เงินหยวนสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินหยวนนอกประเทศ ทำให้ตลาดของเงินหยวนเติบโตได้ดีและมีสภาพคล่องสูงขึ้น โดยนอกจากแผนปฏิรูปเงินหยวนแล้ว การที่เงินหยวนจะกลายมาเป็นสกุลเงินสากลได้ ยังต้องมีเงื่อนไขอื่นอีกเช่น ขนาดเศรษฐกิจและมูลค่าการค้าระหว่างประเทศมีขนาดใหญ่เพียงพอ ตลาดการเงินมีสภาพคล่องในระดับสูง สุดท้ายคือนโยบายทางเศรษฐกิจต้องมีเสถียรภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อย่างไรก็ดี จีนยังมีข้อด้อยในเรื่องตลาดการเงินและนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากยังมีการจำกัดเงินทุนเคลื่อนย้าย และสภาพคล่องของตลาดเงินระหว่างประเทศมีค่อนข้างจำกัด ซึ่งจากข้อด้อยทั้งสองประการนี้ หากประเทศจีนจะดำเนินตามแผนในระยะต่อไป จำเป็นต้องเปิดเสรีบัญชีทุน เพื่อสนับสนุนตลาดการเงินให้มีประสิทธิภาพ โดยธนาคารกลางยังสามารถมีอิสระในการกำหนดนโยบายการเงินได้อยู่
พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศจีนเป็นอย่างไร ?
เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1978 จนกลายมาเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าและผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี จีนยังคงมาตรการควบคุมด้านการเงินอย่างเข้มงวด โดยทางการจีนได้มีการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายและตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราซึ่งมีการซื้อขายกันภายในประเทศ ส่งผลให้มีอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน 2 อัตรา คือ อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในประเทศ (onshore exchange rate: CNY) และนอกประเทศ (offshore exchange rate: CNH) นอกจากนี้ยังแบ่งการลงทุนในตลาดทุนเป็นสองส่วน คือส่วนหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวจีนและอีกส่วนสำหรับชาวต่างชาติ ทำให้ตลาดเงินในประเทศไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดนอกประเทศ อย่างไรก็ตามการที่เศรษฐกิจของจีนเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) และดุลการชำระเงิน (Balance of Payments) เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินหยวนได้เข้ามามีบทบาทในตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ รัฐบาลจีนจึงได้เริ่มสนับสนุนการใช้เงินหยวนในการทำธุรกรรมการค้าและลงทุนระหว่างประเทศ เห็นได้จากการที่ในปี 2004 ได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศบางแห่งสามารถเปิดบัญชีเงินฝากในรูปเงินหยวนใ นฮ่องกงได้ และในปี 2005 ได้เปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed exchange rate) เป็นแบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบจัดการ (Managed float)
แผนปฏิรูปเงินหยวนที่ได้มีการเริ่มใช้ไปแล้วเป็นอย่างไร ?
จีนได้มีสัญญาณชัดเจนที่จะทำให้เงินหยวนสามารถแลกเปลี่ยนได้โดยสะดวกและเสรี หรือมี Full Convertibility ตั้งแต่ปลายปี 2009 โดยได้เริ่มอนุญาตให้ออกพันธบัตรในรูปเงินหยวนในตลาดฮ่องกง เพื่อผลักดันให้เงินหยวนสามารถใช้หมุนเวียนในตลาดการเงินระหว่างประเทศได้ โดยมีฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน และลดการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
หลังจากนั้น ในเดือนเมษายน 2012 ธนาคารกลางจีนได้เพิ่มกรอบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Trading band) ที่ควบคุมไว้ ให้สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้มากขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ 0.5% เพิ่มเป็น 1% และล่าสุดเมื่อช่วงต้นปี 2013 ได้ออกมาประกาศว่าจะทำให้แผนปฏิรูปเงินหยวนเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมบางส่วนภายในปี 2013 กล่าวคือจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาดการเงิน โดยไม่ควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้อีกต่อไป และขยายกรอบอัตราแลกเปลี่ยนให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างเสรีเพิ่มขึ้น จึงมีการคาดการณ์ว่า กรอบอัตราแลกเปลี่ยนฯ จะถูกปรับให้กว้างขึ้นอีกเป็น 1.5-2% จากอัตราอ้างอิงกลาง การขยายกรอบอัตราแลกเปลี่ยนฯดังกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนนโยบายการเงินของทางการจีนจากเดิมที่พยายามตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป โดยมีนัยยะเพื่อรักษาความได้เปรียบด้านราคาในตลาดส่งออกเพื่อช่วยเหลือภาคการผลิตของประเทศ เป็นการทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันแปรเป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่อง เช่น ได้เร่งเพิ่มสถาบันการลงทุนในโครงการ QFII (Qualified Foreign Institutional Investor) และ QDII (Qualified Domestic Institutional Investor) ที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไปลงทุนในตลาดการเงินจีนได้ และให้นักลงทุนของจีนไปลงทุนในตลาดตราสารนอกประเทศได้ ตามลำดับ ทั้งนี้ ทางการจีนได้ตั้งเป้าปฏิรูปเงินหยวนให้สัมฤทธิ์ผลในขั้นต้น กล่าวคือสามารถแลกเปลี่ยนเงินหยวนได้โดยเสรีโดยยังคงมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายไว้บางส่วน ภายในปี 2015
ผลที่จะเกิดขึ้นหากแผนปฏิรูปเงินหยวนสำเร็จ ?
หากเงินหยวนสามารถกลายเป็นสกุลเงินสากลที่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยเสรี แน่นอนว่าทางการจีนจะไม่สามารถควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศได้อีกต่อไป และด้วยเหตุที่จีนยังมีการเกินดุลชำระเงินอยู่อย่างต่อเนื่อง เงินหยวนจึงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากเดิม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของสินค้าส่งออกของจีนได้ อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังทางการจีนได้เริ่มให้ความสำคัญการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยลดความสำคัญของภาคการผลิตเพื่อส่งออกลง และส่งเสริมการบริโภคและการลงทุนในภาคบริการของภาคเอกชนเพื่อทำให้เศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งการเป็นสกุลเงินสากลของเงินหยวนยังส่งผลดีต่อการทำธุรกิจระหว่างประเทศของภาคเอกชนในรูปเงินหยวนที่ไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ในช่วงเริ่มต้นของแผนการขยายกรอบอัตราแลกเปลี่ยนฯ ในภาพรวมไม่ได้ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนในประเทศ (USDCNY) เปลี่ยนแปลงต่อวันเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้หากอัตราแลกเปลี่ยนตามกลไกตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว การกำหนดกรอบอัตราแลกเปลี่ยนฯ อาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป