SHARE
SCB EIC ARTICLE
15 พฤศจิกายน 2013

U.S. Debt Ceiling

เพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกา (U.S. Debt Ceiling)

ผู้เขียน:  เกษมสุข ทักษาดิพงศ์

 156279982.jpg

U.S. Debt Ceiling
เพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกา
ตีพิมพ์ในนิตยสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2556


"International Monetary Fund Managing Director Christine Lagarde said the congressional deadlock over the U.S. debt ceiling is threatening the U.S. and world economies and cautioned against "creative accounting" to avoid default."

ที่มา: Bloomberg (October 14, 2013)

 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ คืออะไร ? ทำไมจึงต้องมีเพดาน?

หนี้สาธารณะในความหมายทั่วไปนั้นหมายถึงภาระหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลอันเกิดจากการจัดหาบริการสาธารณะไว้เพื่อรองรับความต้องการของส่วนรวม โดยนิยามของหนี้สาธารณะในแต่ละประเทศต่างมีขอบเขตที่แตกต่างกันไป สำหรับในสหรัฐอเมริกา หนี้สาธารณะหมายถึงหนี้สินที่รัฐบาลกลาง (federal government) กู้ยืมมาใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยนอกจากการกู้ยืมมาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณตามปกติแล้ว ยังรวมถึงหนี้สินที่ก่อขึ้นเพื่อใช้จ่ายในส่วนของสวัสดิการสังคมและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการก่อหนี้อีกด้วย

แล้วทำไมหนี้สาธารณะถึงต้องมีเพดาน? ปกติแล้วการกำหนดเพดานหนี้สาธารณะนั้นมีไว้เพื่อรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาลในภาพรวมไม่ให้เกิดการก่อหนี้สะสมให้อยู่ในระดับที่สูงเกินไปจนอาจเป็นปัญหาต่อการบริหารจัดการหนี้ของรัฐบาลและเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างได้ ทั้งนี้ การกำหนดเพดานหนี้สาธารณะในสหรัฐฯ เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1917 จากกฎหมาย Second Liberty Bond Act โดยเริ่มแรกจะเป็นการจำกัดขนาดของหนี้ที่มาจากการออกตราสารหนี้เพียงไม่กี่ประเภทเท่านั้น ก่อนที่จะขยายขอบเขตของเพดานหนี้สาธารณะให้ครอบคลุมแหล่งที่มาของเงินกู้ยืมทุกประเภทในปี 1939   

เพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ แตกต่างกรอบหนี้สาธารณะของไทยอย่างไร ?

เพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และกรอบหนี้สาธารณะของไทยมีความแตกต่างในด้านของการกำหนดรูปแบบของเพดาน โดยเพดานหนี้สาธารณะในสหรัฐฯ จะมีลักษณะเป็นการกำหนดวงเงินสูงสุดที่กฎหมายให้อำนาจรัฐบาลก่อหนี้ได้ (debt outstanding limit) ซึ่งอยู่ราว 16.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะตามมติของสภาคองเกรสในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในขณะที่กรอบหนี้สาธารณะของไทยเป็นส่วนหนึ่งของกรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยเป็นการกำหนดสัดส่วนระดับหนี้สาธารณะคงค้างต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีซึ่งสะท้อนถึงรายได้ทั้งหมดของประเทศ โดยปัจจุบันกำหนดอยู่ที่ระดับ 60% ของจีดีพีซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกันกับข้อกำหนดตามสนธิสัญญา Maastricht1 ของกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป

ทำไมสหรัฐฯ จึงต้องปรับเพดานหนี้สาธารณะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ?

เนื่องจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Department of Treasury) ประเมินว่าในวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจะเหลือเงินคงคลังอยู่เพียง 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และรายรับของรัฐบาลในช่วงที่เหลือของเดือนนั้นอาจไม่เพียงพอหากมีการใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดคิดขึ้นมา ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่ารัฐบาลอาจไม่สามารถชำระคืนดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมเป็นต้นไป จึงเกิดความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ดี ในช่วงคืนวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น สภาคองเกรสได้ข้อสรุปในการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สาธารณะในครั้งนี้ โดยยอมผ่านร่างกฎหมายในการขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2014 (รูปที่ 1) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้การยกเลิกเพดานหนี้สาธารณะชั่วคราวไปในช่วงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาภายใต้กฎหมาย "No Budget, No Pay Act of 2013"

ปัญหาเพดานหนี้ของสาธารณะสหรัฐฯ ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดด้านใดบ้าง ?

แม้ว่าการกำหนดเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะเป็นการเปิดช่องทางให้สภาคองเกรสสามารถเข้าไปควบคุมการใช้จ่ายรัฐบาลทางอ้อมนอกเหนือจากกระบวนการตั้งงบประมาณตามปกติเพื่อรักษาความยั่งยืนทางการคลังและเป็นการแสดงความรับผิด (accountability) ต่อสาธารณะ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ได้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของเพดานดังกล่าวอย่างน้อยสองประการ

ประการแรก เพดานหนี้สาธารณะนั้นเป็นการจำกัดการก่อหนี้ใหม่ แต่ภาระการใช้จ่ายภาครัฐปัจจุบันเป็นผลมาจากนโยบายในอดีต ทำให้บางครั้งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้หากระดับหนี้สาธารณะเต็มเพดานจนไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีก ในขณะที่รัฐบาลมีเงินคงคลังไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการชำระคืนดอกเบี้ยจ่ายที่ไม่สามารถเลื่อนการจ่ายเงินออกไปได้ซึ่งต่างจากการชำระคืนเงินต้นจากการออกพันธบัตรใหม่ทดแทนพันธบัตรเดิม (bond rollover) จนทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) และส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมของทั้งรัฐบาลและกลับมาเป็นปัญหาในภายหลังได้อีก

ประการต่อมา ความเสี่ยงจากการตกลงเรื่องเพดานหนี้สาธารณะในสภาคองเกรสที่อาจไม่สำเร็จ ยังมีแนวโน้มทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลกจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าพันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (valuation adjustment) ได้

ดังนั้น แม้ว่าการกำหนดเพดานหนี้สาธารณะจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถควบคุมฐานะการเงินของรัฐบาลได้ แต่ก็ควรพิจารณาถึงเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยว่าจะเกิดผลกระทบใดตามมาหรือไม่ ถ้าเกิดผลกระทบตามมา การปรับกฎเกณฑ์เพดานหนี้สาธารณะให้มีเหมาะสมก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

 

รูปที่ 1: ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก่อนจะมีการประกาศขยายเพดานหนี้สาธารณะครั้งล่าสุด สหรัฐฯ มีการปรับขึ้นเพดานหนี้สาธารณะมาแล้วทั้งหมด 9 ครั้ง และยกเลิกเพดานหนี้สาธารณะชั่วคราวมาแล้ว 1 ครั้ง

6723_20131129143659.jpg

 


1 สนธิสัญญาดังกล่าวระบุว่ารัฐบาลของกลุ่มประเทศสมาชิกสามารถขาดดุลงบประมาณได้ไม่เกิน 3% ของจีดีพีเท่านั้น และต้องรักษาระดับหนี้สาธารณะคงค้างให้ไม่เกิน 60% ของจีดีพี

 

 

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ