Will SVB meltdown cause any contagion risk : ปัญหาการขาดสภาพคล่องของ SVB จะลุกลามไหม
ผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวต่อระบบสถาบันการเงินในประเทศไทยมีจำกัด เนื่องจากสถาบันการเงินไทยไม่ได้มีความเชื่อมโยงหรือความเสี่ยงโดยตรงกับ SVB
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นที่ตลาดการเงินกังวลอย่างมากคงหนีไม่พ้นเรื่องของปัญหาการขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ โดยจุดเริ่มต้นของความกังวลดังกล่าวเกิดจากการที่ Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 16 ของสหรัฐฯ ด้วยสินทรัพย์รวมประมาณ 2.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกมาเปิดเผยในวันที่ 8 มีนาคม 2023 ว่าได้ขายพันธบัตรมูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่ส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวก่อนครบกำหนดอายุ จนทำให้เกิดผลขาดทุน 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และต้องเสนอแผนระดมทุนจากนักลงทุนราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อนำไปพยุงผลขาดทุนดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดเกิดความกังวลต่อปัญหาสภาพคล่องของ SVB และได้เทขายหุ้น SVB จนทำให้ราคาหุ้น SVB ดิ่งลงทันที 60% ขณะที่ผู้ฝากเงินแห่มาถอนเงินราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐออกจาก SVB จนสุดท้ายทางการสหรัฐฯ ได้ประกาศปิด SVB พร้อมกับแต่งตั้งให้หน่วยงานรักษาเสถียรภาพสถาบันการเงินสหรัฐฯ (Federal Deposit Insurance Corporation) เข้ามาดูแลจัดการสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ของ SVB เพื่อปกป้องผู้ฝากเงินต่อไป
สาเหตุที่ทำให้ SVB ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง
เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่
1. SVB มีโครงสร้างฐานลูกค้าที่มีการกระจุกตัว (A poorly diversified customer base) ฐานเงินฝากส่วนใหญ่ของ SVB กระจุกอยู่ในลูกค้ากลุ่มเทคโนโลยี ทั้งธุรกิจร่วมลงทุน (Venture Capital) และ Startups ซึ่งเฟื่องฟูอย่างมากในช่วง COVID-19 เนื่องจากสามารถระดมทุนได้ง่าย โดยจากข้อมูลพบว่าเงินฝากของ SVB ขยายตัวสูงถึง 200% ในระหว่างปี 2020-2021 อย่างไรก็ดี ในปี 2022 ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวเพื่อควบคุมเงินเฟ้อผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดขนาดงบดุล ส่งผลให้การระดมทุนของกลุ่ม Tech startups ทำได้ยากขึ้น ประกอบกับต้นทุนทางการเงินและต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้นส่งผลให้ธุรกิจ Tech startup เกิดภาวะ Cash burn จนต้องถอนเงินฝากจาก SVB ออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพบว่ามีลูกค้ารายใหญ่ถอนเงินออกจาก SVB ส่งผลให้ SVB มีสภาพคล่องไม่เพียงพอจนต้องขายพันธบัตรระยะกลาง-ยาวที่ถือครองอยู่เพื่อมาเสริมสภาพคล่อง
2. SVB มีการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินที่ผิดพลาด (Asset-Liability Mismatch) ในปี 2020-2021 ซึ่งเป็นยุคดอกเบี้ยต่ำ SVB นำเงินฝากที่ได้มาจำนวนมากไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนคงที่ ซึ่งแตกต่างจากในฝั่งของหนี้สินที่ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากระยะสั้นและจ่ายดอกเบี้ยลอยตัว โดยพบว่าสินทรัพย์กว่า 50% ของ SVB เป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางถึงยาว (ขณะที่สถาบันการเงินอื่นในสหรัฐฯ มีการลงทุนในลักษณะดังกล่าวเพียง 20-30% ของสินทรัพย์) ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาพันธบัตรที่ SVB ถือครองอยู่จึงปรับลดลง ส่งผลให้ SVB จำเป็นต้องขายพันธบัตรในราคาที่ขาดทุนกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความเสี่ยงจาก SVB จะลุกลามจนเกิด Domino effect ในสถาบันการเงินสหรัฐฯ เป็นไปได้แค่ไหน
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่สถานการณ์จะลุกลามมากขึ้นจนเกิด Domino effect ในสถาบันการเงินสหรัฐฯ หรือเกิดเป็นวิกฤตการเงินเหมือนในปี 2008 มีจำกัด เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเฉพาะตัว (Idiosyncratic risk) ของ SVB ที่มีฐานเงินฝากขยายตัวอย่างรวดเร็วและกระจุกตัวอยู่ใน Tech sector ประกอบกับมีการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินที่ผิดพลาด ซึ่งต่างจากสถาบันการเงินส่วนใหญ่ที่มักจะมีฐานลูกค้าและฐานเงินฝากที่หลากหลายและกระจายตัวกว่ามาก นอกจากนี้ ทางการสหรัฐฯ ได้ออกมาคุ้มครองเงินฝากทั้งในส่วนที่มีประกันเงินฝาก (บัญชีละ 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ) และไม่มีประกันเงินฝาก (เกิน 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึง Fed ออก Bank Term Funding Program วงเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มาดูแลปัญหาสภาพคล่องที่อาจจะเกิดขึ้นกับสถาบันการเงินอื่นในอนาคตยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ฝากเงินในสหรัฐฯ และป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนกลายเป็นปัญหา Bank run ในระบบสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ได้
นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่เหตุการณ์ขาดสภาพคล่องจะลุกลามไปยังระบบการเงินโลกก็อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศอื่นนอกสหรัฐฯ มีความเข้มงวดมากกว่า โดยแม้ว่า SVB จะเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่อันดับที่ 16 ของสหรัฐฯ แต่ SVB ไม่ได้อยู่ภายใต้การทำ Stress test ที่เข้มงวดของ Fed ซึ่งครอบคลุมธนาคารประมาณ 10 แห่งที่มีขนาดสินทรัพย์คิดเป็น 50% ของมูลค่าสินทรัพย์สถาบันการเงินทั้งหมด ขณะที่การทำ Stress test ในยุโรปมีความครอบคลุมมากถึง 75% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Common Equity Tier 1 ratio : CET1 ratio) ของสถาบันการเงินในยุโรปก็สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำถึง 400 Basis point ขณะที่สถาบันการเงินในสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำราว 200 Basis point
ผลกระทบจาก SVB ต่อระบบสถาบันการเงินในไทย
สำหรับผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวต่อระบบสถาบันการเงินในประเทศไทยยิ่งมีจำกัด เนื่องจากสถาบันการเงินไทยไม่ได้มีความเชื่อมโยงหรือความเสี่ยงโดยตรงกับ SVB หรือสถาบันการเงินอื่นที่ถูกทางการสหรัฐฯ สั่งปิด นอกจากนี้ เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินไทยมีความแข็งแกร่งมาก ทั้งในด้านเงินกองทุนและสภาพคล่อง ซึ่งถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับโครงสร้างสินทรัพย์และเงินฝากของสถาบันการเงินไทยก็มีการกระจายตัวกว่าของสหรัฐฯ มาก ดังนั้น ผู้ฝากเงินและนักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าระบบสถาบันการเงินของไทยจะไม่เผชิญปัญหาคล้ายที่เกิดขึ้นกับ SVB อย่างแน่นอน
________
เผยแพร่ในบทความไทยรัฐออนไลน์วันที่ 28 มีนาคม 2023