เทรนด์การลด Emission ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์โลก และนัยต่อปูนซีเมนต์ของไทย
SCB EIC มองว่า ในอนาคตมีโอกาสที่จะเห็นอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตามเทรนด์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์โลก
การผลิตปูนซีเมนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับต้น ๆ
การผลิตปูนซีเมนต์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) คิดเป็นสัดส่วน 6-7% ของการปล่อย CO2 ในภาพรวมของโลก ทั้งนี้หลายประเทศทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงการผลิตปูนซีเมนต์ ขณะที่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดย McKinsey คาดการณ์ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นราว 1.1 เท่า จาก 3.8 พันล้านตันในปี 2020 เป็น 4.3 พันล้านตันในปี 2050 โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่ใช้ปูนซีเมนต์ปริมาณมากในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จึงเป็นความท้าทายของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับการเพิ่มการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต
ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ต่างประเทศพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
ปัจจุบันผู้ผลิตปูนซีเมนต์ต่างประเทศได้ปรับกลยุทธ์ ทั้งการปรับปรุงเทคโนโลยี การใช้พลังงานทางเลือก ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1) การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตและใช้พลังงานในโรงงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น Ultratech ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของอินเดีย ที่ติดตั้งระบบการแปลงความร้อนจากการเผาวัตถุดิบเพื่อผลิตปูนเม็ด (Clinker) ไปเป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในโรงงาน (Waste Heat Recovery System: WHRS) และ CEMEX ที่ได้นำระบบประมวลผลอัจฉริยะ (AI) มาใช้กับระบบบริหารจัดการพลังงานในโรงงานที่เม็กซิโก ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 20% ทั้งนี้ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ไทยได้เริ่มใช้เทคโนโลยี WHRS แล้ว
2) การใช้พลังงานทางเลือกทดแทนถ่านหินในสัดส่วนที่มากขึ้น เช่น พลังงานขยะ พลังงานชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ อาทิ CEMEX ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลก ซึ่งมีการใช้พลังงานทางเลือกในบางพื้นที่ของยุโรปในสัดส่วนที่สูงถึง 60% ทั้งนี้สัดส่วนการใช้งานพลังงานทางเลือกในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยในปี 2021 อยู่ที่ 5-10% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปตามเป้าหมายของผู้ประกอบการ เช่น ปูนซีเมนต์นครหลวง มีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้ได้อย่างน้อย 20% ภายในปี 2030
3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์รักษ์โลก (Low carbon cement : LC2) ด้วยการลดสัดส่วนปูนเม็ด และใช้วัสดุอื่นทดแทน เช่น หินปูน แคลเซียมคาร์บอเนต ฝุ่นจากเตาเผาปูนเม็ด เป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้การผลิตปูนซีเมนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากขั้นตอนการผลิตปูนเม็ด ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของปูนซีเมนต์มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 60% ของการผลิตทั้งหมด
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย
สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย และผู้ประกอบการได้ร่วมกันพัฒนาปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ที่ลดสัดส่วนปูนเม็ดลงจาก 93% เป็น 83% อย่างไรก็ดี สัดส่วนปูนเม็ดดังกล่าวยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ทั่วโลก ซึ่งตามรายงานของ Goldman sachs research อยู่ที่ 77% ในปี 2021 และคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ราว 60% ในปี 2030 จึงถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการไทยที่จะต้องเร่งลดสัดส่วนปูนเม็ดลงให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของโลกมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ทางเลือกใหม่ ๆ อาทิ Limestone Calcined Clay Cement (LC3) ที่มีสัดส่วนปูนเม็ดเพียง 50% โดยมีวัสดุทดแทนเป็นหินปูน และดินเผา ที่พบได้มากในอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย และยังได้มีการพัฒนาปูนซีเมนต์ที่ปราศจากส่วนผสมของปูนเม็ด (Hoffmann green cement) โดยใช้วัสดุเหลือใช้ทดแทน 100% เช่น ตะกรันเหล็ก ดินจากการขุดเจาะอุโมงค์ สะท้อนความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ที่มีความรักษ์โลก และเป็นความท้าทายให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวด้วยเช่นกัน
SCB EIC มองว่า ในอนาคตมีโอกาสที่จะเห็นอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะช่วยให้อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เข้าถึงเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มประกาศใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) กับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ในปี 2024 รวมถึงเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่สนับสนุนการใช้งานวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ขณะที่การใช้พลังงานทางเลือกนั้น ผู้ประกอบการไทยยังคงมีความท้าทายในการหา Feedstock ที่มีความเหมาะสม ในต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก ทั้งพลังงานขยะ และชีวมวล อีกทั้ง ผู้ประกอบการรายย่อยยังมีข้อจำกัดในการลงทุน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความรักษ์โลกมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ SCB EIC มองว่า ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอาจกระตุ้นการใช้งานปูนซีเมนต์รักษ์โลก โดยหน่วยงานภาครัฐได้กำหนดมาตรฐานการก่อสร้างให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ทดแทนการใช้งานปูนซีเมนต์พอร์ทแลนด์ทั่วไปแล้ว แต่อาจต้องส่งเสริมให้เกิดการใช้งานในภาคเอกชน และผู้บริโภครายย่อยควบคู่กันไป ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การนำค่าใช้จ่ายปูนไฮดรอลิกมาลดหย่อนภาษีสำหรับนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา ซึ่งการใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความรักษ์โลกมากขึ้นจะช่วยส่งเสริมให้ภาคก่อสร้างมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามไปด้วย
_______________
เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองข้ามชอต วันที่ 8 ธันวาคม 2022