SCB EIC ARTICLE
30 มีนาคม 2010

Asean Economic Community - AEC

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ผู้เขียน:  ทัศวรรณ จรรยารักษ์สกุล

 157075069.jpg

 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  ( Asean Economic Community - AEC )

 

"ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา สมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ได้ยกเลิกภาษีสินค้ากว่า 8,000 รายการ และในปี 2558 สมาชิกอาเซียนใหม่ 4 ประเทศ จะลดภาษีทุกรายการเป็นร้อยละ 0 และสามารถยืดหยุ่นในบางรายได้ในปี 2561 ซึ่งการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี2558 ตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมจะมีผลให้อาเซียนกลายเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี"

แหล่งที่มา: เดลินิวส์ (8 มี.ค. 2553)

AEC คืออะไร?

หลังจากที่ ASEAN Free Trade Agreement (AFTA) มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ไปแล้วสำหรับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา แต่ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของไทยกับอาเซียนยังไม่จบลงแค่นี้ เมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า และ เวียดนาม ได้เห็นชอบกับการรวมกลุ่มเศรษฐกิจไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ภายในปี 2015 โดยมีกรอบความร่วมมือหลักๆ 3 ด้านคือ ด้านเศรษฐกิจ  ความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม แต่ด้านที่จะมีผลต่อผู้ประกอบธุรกิจคือด้านเศรษฐกิจ เพราะมีเป้าหมายที่จะเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวร่วมกัน (Single market and production base) ซึ่งสาระสำคัญของด้านเศรษฐกิจประกอบด้วยความร่วมมือใน 3 สัญญาได้แก่ การค้าสินค้า การบริการ (รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงาน) และการลงทุน ที่จะเป็นอย่างเสรีมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวในด้านการค้าและการลงทุนในอาเซียน โดยลดหรือยกเลิกอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก 

 

AEC ต่างจากข้อตกลงเดิมๆ ในกลุ่มอาเซียนอย่างไร?

สมาชิกประเทศอาเซียนได้จัดทำข้อตกลงภายในกลุ่มอาเซียนว่าด้วยเรื่องการค้า (คือ AFTA) การบริการ (คือ ASEAN Framework Agreement on services หรือ AFAS) การลงทุน (คือ ASEAN Investment area หรือ AIA) มานานแล้ว โดยทั้ง 3 สัญญา ได้ลงนามกันไปตั้งแต่ปี 1993 1996 และ 1998 ตามลำดับ และยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถัดจากนี้ไป AEC จะเป็นกรอบความร่วมมือใหญ่ที่รวมเอาสัญญาทั้ง 3 ฉบับเข้าไว้ด้วยกัน โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของสัญญาการค้าสินค้าจาก AFTA เป็น ASEAN Trade in Goods Agreement (หรือ ATIGA) ที่รวมเอาการปรับลดอัตราภาษี ผนวกกับมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่นการอำนวยความสะดวกการค้า เป็นต้น ส่วนด้านการบริการจะยังคงใช้สัญญาเดิมคือ AFAS ส่วนสัญญาด้านการลงทุน (ทั้ง Direct และ portfolio investment) จะมีการเปลี่ยนไปใช้ ASEAN Comprehensive Investment Agreement หรือ ACIA) ซึ่งยังคงสาระเกี่ยวกับการเปิดเสรีการลงทุนภายใต้ AIA เพียงแต่มีการรวบรวมเรื่องการคุ้มครอง การส่งเสริม และการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนเพิ่มเติม ในปัจจุบันสถานะของ ATIGA และ ACIA ยังไม่มีผลบังคับใช้ โดยอยู่ระหว่างที่ไทยจะให้สัตตยาบัน จะเห็นได้ว่าสัญญาฉบับใหม่ เป็นการรวบรวมข้อตกลงเดิมที่อยู่กระจัดกระจายให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจนขึ้น แผนงานส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดจากข้อตกลงเดิมที่มีอยู่ ให้ครอบคลุมการอำนวยความสะดวกทางด้านการค้าและการลงทุนมากขึ้น
  

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ AEC มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์?


สัญญาทั้ง 3 ฉบับข้างต้น เป็นเพียงกรอบความร่วมมือในการดำเนินนโยบายของแต่ละประเทศสมาชิก ซึ่งในปัจจุบัน ภาครัฐได้มีการทยอยดำเนินงานตามแผนการอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคือ เมื่อทั้ง 3 สัญญามีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ ในปี 2015 แล้วรูปแบบการทำธุรกิจด้านการส่งออก นำเข้า และการลงทุนจะการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

  • อันดับแรกคืออัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่เป็น 0% สำหรับประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งเป็นไปตามสัญญา ATIGA (เดิมคือ AFTA) และการค้าระหว่างกันจะง่ายขึ้นเพราะมีมาตรการที่อำนวยความสะดวกทางการค้าเช่น การลดขั้นตอนเอกสารและการตรวจสอบสินค้า ณ จุดตรวจสินค้าของประเทศสมาชิกอาเซียน มีการใช้มาตรฐานกลางในการตรวจสอบสินค้าร่วมกันของทุกประเทศ เป็นต้น
  • อันดับที่สองคือ การลงทุนโดยตรงภายในประเทศอาเซียนจะเปิดเสรีมากขึ้นโดยสามารถลงทุนได้มากถึง 100% ของสัดส่วนผู้ถือหุ้น ในสาขา เกษตร ป่าไม้ ประมง เหมืองแร่ การผลิต ส่วนสาขาด้านบริการอนุญาตให้นักลงทุนจากอาเซียนถือหุ้นได้ไม่ต่ำกว่า 70% ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญา ACIA และ AFAS อย่างไรก็ตามการเปิดเสรีดังกล่าวเป็นการเปิดเสรีแบบมีเงื่อนไข โดยบางธุรกิจที่เป็นธุรกิจสงวน หรือยังไม่พร้อมในการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน จะมีการทำรายการสงวนไว้ หรือมีข้อจำกัดเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของคนในประเทศอยู่ สำหรับประเทศไทยการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือ Foreign Business Act B.E. 1999 (FBA) ซึ่งเงื่อนไขการคุ้มครองจะยังเป็นไปตามที่ประกาศใน พรบ. จนกว่าจะมีการแก้ไขกฏหมายในประเทศ
  • อันดับที่สาม การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือหรือผู้ระกอบวิชาชีพเฉพาะทาง สามารถทำงานระหว่างประเทศอาเซียนได้สะดวกขึ้น เพราะภายใต้สัญญาบริการ AFAS มีการยอมรับคุณสมบัติของแรงงานร่วมกัน ทั้งนี้ข้อตกลงภายใต้ AEC นี้ยังไม่รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled labor) ซึ่งจะยังเป็นไปตามกฏหมายของแต่ละประเทศอยู่

 

ประโยชน์จากการเป็น AEC มีอะไรบ้าง

แม้สาระสำคัญของการเป็น AEC แทบไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมมากนัก อีกทั้งการสงวนสิทธิและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบางสาขา นอกจากนี้การเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรียังจำกัดอยู่แค่แรงงานฝีมือ แต่เมื่อมีมาตรการอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน ประกอบกับสาระสำคัญเดิมที่เปิดช่องทางในการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว จึงคาดว่าภาพรวมของโอกาสที่จะขยายตลาดส่งออกและขยายฐานการผลิตยังมีอยู่มาก เพราะ AEC ครอบคลุมขนาดเศรษฐกิจกว่า 1.5 พันดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่าไทยถึง 5 เท่า ประกอบกับขนาดของประชากรรวมถึง 600 ล้านคน และถ้าเปิดตลาดการค้ารวมกับจีน ขนาดของประชากรจะขยายตัวเป็น  1,900 ล้านคน ซึ่งประโยชน์ที่เห็นได้ชัด ได้แก่


1) การส่งออกไปยังประเทศอาเซียน โดยเฉพาะในหมวดสินค้าที่มีส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าที่คิดกับประเทศนอก FTA กับอัตราภาษี 0% ที่ไทยได้รับจากการส่งออกไปยังสมาชิกอาเซียนได้ ยกตัวอย่างเช่น ยางรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์และจักรยาน เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอุตสาหกรรม เครื่องประดับ และยางสังเคราะห์และปิโตรเคมี


2) โอกาสในการขยายฐานการผลิต หรือการลงทุนโดยตรง ที่เราสามารถใช้ข้อได้เปรียบทางทรัพยากรของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น วัตถุดิบและแรงงานฝีมือราคาถูก ทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ พร้อมกับเป็นการผลิตเพื่อตอบสนองการบริโภคของคนในประเทศนั้นๆ ได้อีกทางหนึ่ง อย่างก็ตาม การเข้าไปลงทุนต้องศึกษากฏหมายการลงทุนของประเทศนั้นๆ อย่างถ่องแท้ เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

 

แล้ว AEC จะเป็นอย่างสหภาพยุโรปหรือไม่?

ตามกรอบของ AEC ยังไม่มีการระบุว่าจะมีการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังร่วมกัน ยังไม่มีการจัดตั้งสกุลเงินเดียวกัน หรือการตั้งกำแพงภาษีเดียวกับประเทศนอกกลุ่ม เพราะความแตกต่างด้านโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต่างกันอยู่มาก ประกอบกับรัฐบาลแต่ละประเทศต้องการความอิสระในการกำหนดนโยบายของตน ดังนั้นรูปแบบการรวมกลุ่มจึงยังไม่เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับสหภาพยุโรปนั่นเอง

 

 

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ