Global recession : มาจริงหรือแค่เรื่องขู่
เศรษฐกิจที่สำคัญต่างปรับชะลอลงมาก ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ เศรษฐกิจยุโรป รวมถึงเศรษฐกิจจีน จึงทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ...
เศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมาเผชิญกับอุปสรรคและแรงต้านมากมาย ตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนในช่วงปลายไตรมาสแรกของปีที่ซ้ำเติมปัญหาอุปทานคอขวดในโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดปรับสูงขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงาน ราคาสินค้าเกษตร รวมไปถึงราคาสินแร่สำคัญที่ใช้ในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จนทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้นทั่วโลก ธนาคารกลางหลายแห่งจึงต้องดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมแรงกดดันเงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์และการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งดอกเบี้ยในบางประเทศถูกปรับขึ้น “เร็วและแรง” ทำให้ตลาดการเงินผันผวนอย่างมาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้นเร็ว ค่าเงินสกุลภูมิภาคอ่อนค่าลงเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ (EMs) ที่มีความเสี่ยง/ความเปราะบางด้านเสถียรภาพต่างประเทศ รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลงเร็วในช่วงที่นักลงทุนทั่วโลกปิดรับความเสี่ยง (Risk-off)
เงินเฟ้อที่เร่งขึ้นและนโยบายการเงินที่ตึงตัวไม่ได้ส่งผลแค่เพียงตลาดการเงิน แต่ยังส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงอีกด้วย โดยเศรษฐกิจที่สำคัญต่างปรับชะลอลงมาก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เศรษฐกิจยุโรป รวมถึงเศรษฐกิจจีน จึงทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในที่สุด ซึ่งสะท้อนได้จากยอดค้นหาคำว่า “Recession” ผ่านทาง Google ที่สูงขึ้นมาก และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 และวิกฤต COVID-19 ปี 2020 แล้ว บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงสาเหตุและปัจจัยที่จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในกลุ่มประเทศสำคัญ และนำไปสู่ข้อสรุปว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกนั้นมีมากน้อยเพียงใด
นโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นเร็วในสหรัฐฯ อาจทำให้เกิด Recession ในปีหน้า
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณขยายตัวชะลอลงมากในปีนี้ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการหดตัวของการลงทุนเอกชนโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ และอุปสงค์ของครัวเรือนที่อ่อนแอลงโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าคงทน สำหรับในระยะต่อไป เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงอีกต่อเนื่อง เพราะอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวมากและมีแนวโน้มลดลงช้า ส่งผลให้อำนาจซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงต่อเนื่องขึ้นอีก โดยที่ผ่านมาได้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วถึง 3% ในปีนี้ ซึ่งจะบั่นทอนการใช้จ่ายของผู้บริโภคต่อไป สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่ผ่านมาเริ่มหดตัวลงแล้ว นอกจากนี้ ภาคการผลิตก็เริ่มหดตัวเช่นกัน เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นประกอบกับการขาดแคลนวัตถุดิบการผลิตในบางส่วนทำให้กำไรของผู้ประกอบการปรับลดลง เมื่อพิจารณาจากปัจจัยข้างต้นทั้งหมดแล้ว ทำให้คาดได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสเข้าสู่ Recession ได้ในปีหน้า โดยผลสำรวจจาก Bloomberg เดือนตุลาคมพบว่า โอกาสที่จะเกิด Recession ในสหรัฐฯ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้ามีสูงถึง 50%
วิกฤตพลังงานในยุโรป จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยปลายปีนี้
เศรษฐกิจยุโรปก็เผชิญกับอุปสรรคมากมายจนทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะหดตัวเช่นกัน ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปอ่อนแอลงมากมาจากวิกฤติพลังงานที่มีต้นตอมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยรัสเซียประกาศยุติการส่งก๊าซไปเยอรมนีตั้งแต่ไตรมาส 3 ส่งผลให้ราคาก๊าซในยุโรปปรับขึ้นเร็วเป็นประวัติการณ์ อีกทั้ง อุปทานก๊าซที่ลดลงยังส่งผลให้กิจกรรมภาคการผลิตของยุโรปหดตัวลงอีก โดยผลของวิกฤตพลังงานนี้ไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาพลังงานสูงเท่านั้น แต่ล่าสุดก็ได้กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers' Index: PMI) ของยูโรโซนที่หดตัว 3 เดือนติดต่อกันแล้ว นอกจากนี้ อุปสงค์จากครัวเรือนก็ชะลอลงตามภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นหลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเช่นกัน และเนื่องจากกลุ่มประเทศยุโรปมีหนี้สาธารณะค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ดังนั้น ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ภาครัฐจะมีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการคลังในระยะต่อไปมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ เศรษฐกิจยูโรโซนจึงน่าจะหลีกเลี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ยากตั้งแต่ปลายปีนี้ นำโดยเยอรมนีที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตพลังงานมากที่สุด โดยผลสำรวจจาก Bloomberg ล่าสุดพบว่า โอกาสที่จะเกิด Recession ในยุโรปในระยะ 12 เดือนข้างหน้าสูงถึง 72.5%
เศรษฐกิจจีนเผชิญแรงกดดันทั้งจากมาตรการควบคุมในประเทศและอุปสงค์โลกที่ชะลอ ทำให้เสี่ยง Hard landing
เศรษฐกิจจีนแม้อาจจะไม่แย่มากถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอลงรุนแรง (Hard landing) ซึ่งเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจล่าสุดก็สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่เปราะบางท่ามกลางความเสี่ยงจากทั้งในและต่างประเทศ โดยถึงแม้ทางการจีนจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บางส่วนแล้ว แต่ภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมก็ยังชะลอลงจากเดือนก่อน ซึ่งเป็นผลจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น มาตรการควบคุมโควิดในบางพื้นที่ที่ยังมีอยู่ และการปิดโรงงานที่เกิดจากการขาดแคลนพลังงาน นอกจากนี้ ภาคอสังหา จีนก็ยังซบเซาจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของผู้ประกอบการและมาตรการจำกัดเพดานเงินกู้ของภาครัฐ โดยจำนวนยอดขายและการก่อสร้างใหม่ในภาคอสังหาฯ ยังปรับหดตัวต่อเนื่อง สำหรับในระยะต่อไป เศรษฐกิจจีนก็จะยังได้รับแรงกดดันอยู่มากโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอลงตามอุปสงค์โลกที่จะลดลงอีก ขณะที่การบริโภคและการเดินทางของประชาชนก็จะยังฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ เพราะมาตรการควบคุมโควิดยังไม่มีสัญญาณว่าจะสิ้นสุดลงในระยะอันใกล้นี้ โดยคาดว่าอาจต้องรอถึงหลังการประชุมสภาฯ Annual National People's Congress ในเดือนมีนาคมปีหน้าเป็นอย่างน้อย ด้วยเหตุนี้ เศรษฐกิจจีนจึงอาจชะลอลงมาก โดยอาจขยายตัวได้เพียง 2.8% ในปีนี้ ซึ่งก็จะทำให้อุปสงค์โลกชะลอลงมาก กดดันภาคการค้าและการส่งออกโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย
เมื่อเศรษฐกิจประเทศหลักพากันชะลอลงมาก แล้วเศรษฐกิจโลกจะยังไปต่อได้อย่างไร
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และจีน คิดเป็นสัดส่วนราว 15% 15% และ 19% ของเศรษฐกิจโลก1 ตามลำดับ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันถึง 48% ของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น หากเศรษฐกิจหลักเหล่านี้ต่างชะลอลงมากในปีหน้า เศรษฐกิจโลกก็มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะ Recession ด้วยเช่นกัน ล่าสุดพบว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโลกปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในหลาย ๆ ประเทศก็ปรับลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับวิกฤตโควิดแล้ว และจากการประเมินของธนาคารโลก (World Bank)2 พบว่า หากธนาคารกลางของเศรษฐกิจหลักยังขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ (ปรับเพิ่มอีก 100 BPS ในระยะ 1 ปีต่อจากนี้) ก็จะทำให้เศรษฐกิจโลกในปี 2023 ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.2% แต่หากธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูงกว่านี้ (ปรับเพิ่มอีก 200 BPS ในระยะ 1 ปีต่อจากนี้) จะทำให้เศรษฐกิจโลกปีหน้าชะลอลงเหลือเพียง 0.5% เท่านั้น ดังนั้น เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมาก และหากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักต่างชะลอลงมาก เศรษฐกิจโลกก็คงยากที่จะรอดพ้นจากภาวะ Recession ไปได้
1ข้อมูลจาก IMF WEO October 2022 โดยคำนวณจาก GDP based on PPP weights
2Justin Damien Guenette, M. Ayhan Kose, and Naotaka Sugawara, September 2022, “Is a Global Recession Imminent?”, World bank
_______________
เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองข้ามชอต วันที่ 26 ตุลาคม 2022