SHARE
SCB EIC BRIEF
15 มิถุนายน 2022

Urban Air Mobility … แท็กซี่ลอยฟ้ากับจินตนาการที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง

หากคุณเคยจินตนาการว่าการเดินทางด้วยรถบินได้หรือแท็กซี่ลอยฟ้าเป็นเพียงจินตนาการของโลกอนาคต คุณรู้หรือไม่ว่า จินตนาการนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริง ...

หากคุณเคยจินตนาการว่าการเดินทางด้วยรถบินได้หรือแท็กซี่ลอยฟ้าเป็นเพียงจินตนาการของโลกอนาคต คุณรู้หรือไม่ว่า จินตนาการนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงและจะเป็นรูปธรรมอีก 1-3 ปีข้างหน้านี้จากการพัฒนาการเดินทางรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า การเคลื่อนย้ายทางอากาศในเขตเมืองและชานเมือง (Urban Air Mobility: UAM) ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมการเดินทางในอนาคต

UAM คือระบบการขนส่งทางอากาศที่ให้บริการขนส่งทั้งผู้โดยสารและพัสดุสินค้าบริเวณภายในเมืองและชานเมืองในระดับความสูงต่ำ ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางทางอากาศมีความสะดวก ปลอดภัย ในราคาเหมาะสม และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในยานพาหนะหลักที่นำมาให้บริการคืออากาศยานไฟฟ้าที่ขึ้น-ลงแนวดิ่ง (electric vertical take-off and landing aircraft: eVTOL) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่โดรนขนส่งพัสดุจนถึงเครื่องบินขนส่งผู้โดยสารขนาดเล็ก อีกทั้ง สามารถขับเคลื่อนได้หลายวิธี ตั้งแต่ การใช้นักบินขับขี่ การใช้รีโมตคอนโทรลบังคับโดยนักบิน จนถึงระบบอัตโนมัติโดยไม่ใช้นักบิน โดยให้บริการผ่านสถานีขึ้น-ลงแนวดิ่งเฉพาะ (vertiplaces)

ธุรกิจ UAM เป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่กำลังเป็นที่สนใจและจะเติบโตในอนาคต จึงทำให้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก โดย Mckinsey ประเมินว่า การลงทุนด้าน UAM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ผ่านมาและยิ่งเร่งตัวมากขึ้นในปี 2021 จากมูลค่าลงทุนถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่ามูลค่ารวมระหว่างปี 2011-2020 ที่อยู่ที่ราว 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐกว่าเท่าตัว อีกทั้ง ในปี 2021 มีบริษัทที่ลงทุนด้านนี้ถึง 5 แห่งที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และมีมากกว่าอีก 200 แห่งรวมผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ระดับโลกด้วยไม่ว่าจะเป็น Airbus, Boeing, และ Embraer ที่กำลังศึกษา eVTOL และในอนาคต KPMG ประเมินว่า ในปี 2035 มูลค่าตลาดการให้บริการ UAM จะอยู่ที่ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 1.19 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2040

ทั้งนี้การขนส่งผู้โดยสารด้วย UAM จะช่วยให้การเดินทางภายในเมืองมีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดและมลภาวะโดยเฉพาะในมหานครทั่วโลกที่ปัญหาจะยิ่งทวีความรุนแรงจากกระแส urbanization โดย J.P. Morgan ประเมินว่า การขนส่งผู้โดยสารด้วย UAM จะช่วยลดระยะเวลาเดินทางมากกว่า 70% ยกตัวอย่างเช่น การเดินทางในเมืองในระยะทาง 40 กม. การใช้ UAM จะช่วยประหยัดเวลาจาก 1 ชม. ด้วยรถยนต์เหลือเพียง 12 นาที ส่วนค่าบริการ UAM ยังอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ โดยแม้ค่าโดยสาร ที่ 82.5 ดอลลาร์สหรัฐ จะแพงกว่ารถยนต์ 1.2 เท่า แต่ยังถูกกว่าเฮลิคอปเตอร์กว่า 4 เท่า อีกทั้ง ผู้ผลิต eVTOL ยังคาดว่าหากการใช้ UAM เพิ่มสูงขึ้นจะยิ่งทำให้ค่าโดยสารลดลงจนสามารถแข่งขันกับธุรกิจ ride-hailing ได้จากการประหยัดต่อขนาด

ปัจจุบัน หลายประเทศเริ่มใช้ UAM บ้างแล้วในส่วนโดรนขนส่งสินค้า และอยู่ระหว่างทดสอบการขนส่งผู้โดยสารด้วย eVTOL ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแลทางอากาศ และบริษัทผู้ผลิต พร้อมทั้งตั้งเป้าเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ภายในปี 2023-2025 โดยดูไบถือเป็นเมืองแรก ๆ ที่วางแผนนำ UAM มาขนส่งผู้โดยสารตั้งแต่ปี 2017 โดยร่วมมือกับ Volocopter และ EHang ซึ่งเป็นผู้ผลิต eVTOL และเตรียมเปิดให้บริการภายใน 1-2 ปีนี้ ส่วนในสหรัฐฯ Uber วางแผนจะให้บริการในปี 2023 ขณะที่ผู้ผลิต eVTOL อย่าง Joby กับ Archer วางแผนจะให้บริการในลอสแอนเจลิสในปี 2024 อีกทั้ง หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ได้พัฒนาแนวทางในการดำเนินการ UAM ที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานอื่น ๆ ทั่วโลก ขณะที่ฝรั่งเศสและญี่ปุ่นก็เตรียมจะเปิดใช้งานให้ทันในช่วงการจัดมหกรรมระดับโลก ได้แก่ โอลิมปิก 2024 ที่ปารีส และเวิลด์เอ็กซ์โป2025 ที่โอซาก้า ส่วนจีนระบุให้การพัฒนา UAM เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์แห่งชาติและกำลังเร่งพัฒนาร่วมกับ EHang ในฝั่งอาเซียน สิงคโปร์ได้ร่วมมือกับ Volocopter ตั้งแต่ปี 2017 จนทดสอบเที่ยวบินแรกแล้วและคาดว่าจะให้บริการภายในปี 2023 อีกทั้ง ผู้ให้บริการขนส่งในอาเซียน อย่าง Capital A (airasia) กับ Grab เริ่มวางแผนให้บริการ UAM รวมถึงการเช่า eVTOL แล้ว ขณะที่ไทย ผู้ผลิต eVTOL กำลังเตรียมร่วมมือกับบริษัทของไทยในการพัฒนา UAM

อย่างไรก็ดี การพัฒนา UAM ยังมีความท้าทายอยู่ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. กฎระเบียบข้อบังคับ เนื่องจาก UAM เป็นเรื่องใหม่ทำให้ต้องสร้างกฎระเบียบในการรับรองและอนุญาตให้เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค เช่น การออกใบอนุญาตและตรวจสอบมาตรฐานเครื่องบิน นักบิน และ vertiplaces การควบคุมการจราจรทางอากาศ การควบคุมมลภาวะทางเสียง เป็นต้น 2. โครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรของ UAM  เช่น vertiplaces สถานีจอด ชาร์จไฟฟ้า และซ่อมบำรุง รวมถึงนักบิน ซึ่งจะต้องเร่งพัฒนาและขยายให้ครอบคลุม 3. เทคโนโลยี UAM ที่จะต้องพัฒนาระบบตรวจจับและป้องกันอุบัติเหตุ รวมถึงพัฒนาระบบแบตเตอรี่ของ eVTOL ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  

สำหรับไทย ภาครัฐควรจะเริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ UAM ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงในระดับโลก ทั้งในแง่ทางเลือกในการใช้งาน โดยควรเริ่มศึกษาแนวทางการใช้งานและการจัดทำกฎระเบียบจากหลายประเทศที่กำลังเร่งพัฒนา และนำมาปรับใช้กับไทยภายใต้ความร่วมมือกับผู้ผลิต eVTOL ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ UAM เกิดขึ้นจริง และในแง่ของการเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain ในการผลิตพัฒนา UAM ซึ่งภาครัฐอาจกำหนดนโยบายดึงดูดผู้พัฒนา UAM ทั่วโลกให้เข้ามาผลิต วิจัยและทดสอบในไทยโดยเฉพาะบริเวณเมืองการบินภาคตะวันออกใน EEC ซึ่งตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการบิน เหมือนดั่งอุทยานอวกาศเซเลตาร์ของสิงคโปร์ที่เตรียมเป็นศูนย์กลางวิจัยและพัฒนา UAM ของทั้งสิงคโปร์และภูมิภาค

การพัฒนา UAM จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสของไทยในการยกระดับการเดินทางในเขตเมือง การแก้ไขปัญหาจราจรและมลภาวะ รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ไทยก้าวทันความเปลี่ยนแปลงโลกได้

 

________________

 

เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองข้ามชอต วันที่ 15 มิถุนายน 2022

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ