ไอเจเอ็ม: ยักษ์ใหญ่ก่อสร้างแห่งมาเลเซีย
ธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วยจากการที่ประเทศไทยกำลังจะถูกพลิกโฉมด้านโครงสร้างพื้นฐานจากการลงทุน 2 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี พ.ศ.2558
ผู้เขียน: ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC)
ไอเจเอ็ม : ยักษ์ใหญ่ก่อสร้างแห่งมาเลเซีย
ธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ด
เต็มหน่วยจากการที่ประเทศไทยกำลังจะถูกพลิกโฉมด้านโครงสร้างพื้นฐานจากการลงทุน 2 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี พ.ศ.2558
ซึ่งหากกล่าวถึงบริษัทก่อสร้างในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยแล้ว บริษัท
ไอเจเอ็ม จำกัด (IJM Corporation Berhad) จากประเทศมาเลเซียนับเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด โดยมีรายได้ในปี พ.ศ.2555 สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนรองจากบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัดของไทย
บริษัทไอเจเอ็มมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 17% ต่อปี ทั้งนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจหลัก การต่อยอดการลงทุนไปยังธุรกิจต่อเนื่อง และการเลือกลงทุนไปยังตลาดใหม่ๆ ที่กำลังเติบโต เช่น อินโดนีเซีย จีน และอินเดีย
จุดเด่นและข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่สำคัญของบริษัทไอเจเอ็ม ได้แก่ การมุ่งเน้นโครงการก่อสร้างที่บริษัทมีความชำนาญเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น สนามบิน ระบบขนส่งมวลชน ทางด่วน และโรงไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการรุกเข้าไปในธุรกิจหลักอีก 4 ด้านคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง สัมปทานโครงสร้างพื้นฐาน และการเพาะปลูก เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจเพียงด้านใดด้านหนึ่งและเพื่อสร้างประโยชน์จากการต่อยอดและขยายช่องทางทางธุรกิจ (Synergistic Benefits) จากธุรกิจก่อสร้างไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ที่ต่อเนื่องกัน เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
บริษัทสร้างฐานรายได้ที่ต่อเนื่อง (Recurring Income) โดยการขยายธุรกิจเข้าไปรับสัมปทานในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายในประเทศของรัฐบาล ซึ่งบริษัทมีทั้งความชำนาญในการก่อสร้างและมีสินทรัพย์เพียงพอสำหรับการประมูลโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ เช่น สัมปทานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสุไหงบูโลห์-กะจัง (Sungai Buloh-Kajang MRT Line) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศมาเลเซีย
บริษัทไอเจเอ็มได้ใช้นโยบายควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) ในการขยายธุรกิจ โดยบริษัทได้ก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวของบริษัทก่อสร้างขนาดกลาง
ในประเทศมาเลเซียจำนวน 3 บริษัท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่จากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในด้านของเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้นและรูปแบบของการให้บริการที่มีคุณภาพดีขึ้นและครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการก่อสร้างและซ่อมแซม นอกจากนี้ บริษัทไอเจเอ็มยังได้เข้าซื้อกิจการของบริษัทโรดบิวเดอร์กรุป (Road Builder Group) ในปี พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างคู่แข่งหลักในเวลานั้น ส่งผลให้บริษัทไอเจเอ็มก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย
บริษัทไอเจเอ็มยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยใช้จุดแข็งของความสามารถที่ครบวงจรเข้าไปทำสัมปทานโครงการสาธารญูปโภคพื้นฐาน ในรูปแบบที่ให้บริการออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการ (Build-Operate-Transfer) โดยเน้นประเทศกำลังพัฒนาที่มีแนวโน้มการขยายตัวของภาคก่อสร้างอยู่ในเกณฑ์ดีและให้การสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เช่น ประเทศอินเดีย ที่บริษัทได้สร้างทางด่วนพิเศษถึง 5 สายด้วยกัน
แม้ว่าบริษัทไอเจเอ็มจะเป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง และกำลังรุกออกไปยังตลาดในเอเชีย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ประเมินว่าโอกาสที่บริษัทไอเจเอ็มจะเข้ามาแข่งขันในโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท หรือโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ
ในประเทศไทยนั้นยังมีน้อย เพราะธุรกิจก่อสร้างในไทยมีคู่แข่งรายใหญ่ที่มีความสามารถทัดเทียมกับบริษัทไอเจเอ็มอยู่หลายราย และคงไม่ง่ายนักที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดที่ความสัมพันธ์และประสบการณ์ทำงานในพื้นที่มีความสำคัญ อย่างไรก็ดีบริษัทไอเจเอ็มนับว่าเป็นคู่แข่งที่ไม่ควรมองข้ามหากบริษัทก่อสร้างของไทยจะรุกเข้าไปยังตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ ในยุคของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน