SHARE

Low-carbon economy : มุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

This is the decisive decade. This is the decade that we must make decisions to avoid the worst consequences of the climate crisis.

LINE_sharebutton<sup>1</sup>-(1)-(1).JPG



shutterstock_1062530501.jpg

“This is the decisive decade. This is the decade that we must make decisions to avoid the worst consequences of the climate crisis. This is a moral imperative. An economic imperative. A moment of peril, but also a moment of extraordinary possibilities.”

 

Joe Biden, ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (22 เมษายน 2021)


การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศมากเกินไปเป็นปัญหาที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยหลายประเทศได้มีการตั้งนโยบายและเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงมีการร่วมมือกันในระดับนานาชาติอย่างเช่นข้อตกลง Paris Climate Agreement ในปี 2015 นอกจากนี้ หลายประเทศยังได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จากวิกฤต COVID-19 ผ่านการใช้มาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบ low-carbon economy ควบคู่ไปด้วย โดยในบทความนี้จะกล่าวถึงปัญหา วิธีการ และผลกระทบของแนวนโยบายสนับสนุนดังกล่าวว่ามีรายละเอียดอย่างไร รวมถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะนำนโยบายดังกล่าวมาใช้อีกด้วย

01.png


อุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงสู่ low-carbon economy มีอะไรบ้าง?

ความท้าทายในการพัฒนา low-carbon economy เกิดจากภาระต้นทุนที่อาจสูงขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) ดังตัวอย่างเช่นการผลิตไฟฟ้าที่ยุโรป ซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่ที่ US$0.04/kWh ขณะที่ต้นทุนการผลิตจากโซลาร์ฟาร์มขนาดอุตสาหกรรมอยู่ที่ US$0.08/kWh[1] โดยนอกจากจะมีต้นทุนที่สูงกว่าแล้ว การใช้เทคโนโลยีสีเขียวยังต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับหลายบริษัท แม้การเปลี่ยนแปลงจะมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวก็ตาม ดังนั้น ภาครัฐจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนา low-carbon economy ให้เกิดขึ้นจริง


ภาครัฐสามารถส่งเสริมการพัฒนา low-carbon economy ได้อย่างไร?

ภาครัฐสามารถพัฒนาระบบและเครื่องมือทางการเงิน เพื่อสร้างแรงจูงใจหรือกฎเกณฑ์ให้ภาคเอกชนคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการดำเนินงาน และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวมากขึ้น ดังต่อไปนี้

 
· ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax):
ระบบภาษีคาร์บอนคือการที่ภาครัฐคิดค่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงงาน ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนเพิ่มเติมของแต่ละบริษัท จึงทำให้ภาคเอกชนต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจด้วย นอกจากนี้ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีคาร์บอนยังสร้างแรงจูงใจให้บริษัทหันมาลงทุนกับเทคโนโลยีสีเขียวมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถจ่ายภาษีคาร์บอนได้ลดลง ในส่วนของรายได้จากการเก็บภาษีคาร์บอน ก็สามารถนำไปสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวเพิ่มเติม หรือช่วยสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ในอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงได้อีกทอดหนึ่ง

· ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ emissions trading system (ETS)
: ระบบ ETS จะมีการจำหน่ายเครดิตคาร์บอนให้กับแต่ละบริษัท โดยภาครัฐจะวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับ business-as-usual ของแต่ละโรงงาน เพื่อเป็นฐานในการจำหน่ายเครดิตคาร์บอนให้กับแต่ละที่ หากมีโรงงานที่ต้องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าจำนวนเครดิตที่มีอยู่ จะต้องไปซื้อเครดิตเพิ่มจากโรงงานที่มีเครดิตเหลือผ่านระบบ ETS โดยภาครัฐจะค่อย ๆ ลดจำนวนเครดิตที่จำหน่ายให้แต่ละโรงงานในทุก ๆ ปี เพื่อเพิ่มราคาของเครดิต และผลักดันให้แต่ละโรงงานหาทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น โดยระบบ ETS จะใช้กลไกตลาดในการผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจที่สามารถเปลี่ยนแปลงง่ายที่สุดก่อน และจะค่อย ๆ ผลักดันให้ภาคธุรกิจอื่นเปลี่ยนแปลงตามทีหลัง

· ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond): เป็นตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่ใช้เพื่อการลงทุนในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โครงการลดการปล่อยมลพิษ และโครงการปกป้องระบบนิเวศ ซึ่งโดยมาก ภาครัฐจะมีนโยบายสนับสนุน เช่น ผลประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อ หรือมีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเท่ากัน ดังนั้น การออกตราสารหนี้สีเขียวจะช่วยด้านการหาแหล่งเงินทุนให้กับบริษัทเพื่อการจัดสรรเงินลงทุนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวที่ปกติอาจจะไม่สามารถหาทุนสนับสนุนได้ เนื่องจากต้องการจำนวนเงินลงทุนสูง และอาจต้องใช้เวลานานในการจ่ายหนี้คืน

ในความเป็นจริง สามมาตรการนี้สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ โดยระบบภาษีคาร์บอนและระบบ ETS จะมีหน้าที่ในการเพิ่มผลประโยชน์ให้บริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่วนการออกตราสารหนี้สีเขียวจะช่วยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว โดยทั้งสามมาตรการถูกนำมาใช้แล้วในหลายประเทศทั่วโลก เริ่มจากกว่า 40 ประเทศได้มีการนำระบบภาษีคาร์บอน และ/หรือ ระบบ ETS มาใช้แล้ว ซึ่งครอบคลุม 13% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก และมีอีก 16 ประเทศที่มีการออกตราสารหนี้สีเขียวแล้ว โดยในปี 2021 มูลค่าของตราสารหนี้สีเขียวทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

02.png

ทั้งนี้หากระบบที่ได้กล่าวถึงมีการใช้งานมากขึ้น ก็จะทำให้เทคโนโลยีสีเขียวมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการใช้งานจริง รวมถึงต้นทุนจะลดลงจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) สามารถลดค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ต้องการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งทำให้การพัฒนา low-carbon economy เกิดขึ้นได้จริงในที่สุด


การสร้าง low-carbon economy ในประเทศไทยอยู่ตรงไหนแล้ว?


            แม้ประเทศไทยจะยังไม่มีภาษีคาร์บอนหรือระบบ ETS ที่นำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็มีการศึกษาและโครงการนำร่องด้านการจัดระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (V-ETS) ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ภายใต้ความดูแลขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) โดยจะต้องติดตามต่อไปว่าภาครัฐจะมีนโยบายไปในทิศทางใดหลังจากมีการศึกษาและโครงการนำร่องมาแล้วระยะหนึ่ง ขณะที่ในส่วนของตราสารหนี้สีเขียว พบว่าเริ่มออกมาในตลาดบ้างแล้วตั้งแต่ช่วงปี 2019 เป็นต้นมา

 

[1] International Renewable Energy Agency (2018)

                                             

เผยแพร่ในการเงินธนาคาร คอลัมน์ เกร็ดการเงิน วันที่ 21 ตุลาคม 2021

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ