ผลกระทบ COVID-19 ต่อการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI)
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกในหลายภาคส่วน รวมถึงการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI) ด้วยเช่นกัน
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกในหลายภาคส่วน รวมถึงการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI) ด้วยเช่นกัน โดย UNCTAD ได้คาดว่า Global FDI จะลดลงประมาณ -30 ถึง -40% ในปีนี้ (คาดการณ์ ณ เดือนมิถุนายน 2020) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับคาดการณ์ของ OECD โดยมีสาเหตุสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
1) มาตรการปิดเมืองทำให้โปรเจกต์การลงทุนประสบความล่าช้าหรืออาจโดนยกเลิก โดยมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในหลายประเทศทำให้บางโปรเจกต์การลงทุนถูกเลื่อนออกไป หรืออาจถูกยกเลิกจากความเสี่ยงที่โปรเจกต์จะไม่สำเร็จ ซึ่งจากข้อมูลสถิติของ UNCTAD พบว่าโครงการการเงิน(Project finance) ทั่วโลกในเดือน เม.ย.ลดลงประมาณ 40% จากค่าเฉลี่ยรายเดือนในปี 2019 และลดลงเกือบ 50% จากเดือน มี.ค. โดยส่วนใหญ่เป็นการหดตัวจากโครงการการเงินในประเทศกำลังพัฒนา สะท้อนถึงแนวโน้มการหดตัวของโปรเจกต์การลงทุน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ FDI ในปีนี้
2) เศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอยทำให้บริษัทมีกำไรลดลง หรือบางบริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปิดกิจการ จึงทำให้เม็ดเงินลงทุนมีแนวโน้มลดลงมาก โดยภาวะเศรษฐกิจถดถอยย่อมกระทบถึงกำไรของบริษัท จึงทำให้บริษัทวางแผนการลงทุนที่รัดกุมมากขึ้น ซึ่งทาง UNCTAD ได้ให้ข้อมูลว่าMultinational enterprises (MNEs) ชั้นนำ 5,000 แห่งได้มีการปรับการคาดการณ์กำไรในปี 2020 จะหดตัวมากถึง 36% (เก็บข้อมูลในเดือน ก.พ. ถึง พ.ค.)
3) หลายประเทศมีแนวโน้มถอนฐานการผลิตกลับประเทศของตนเอง นอกจากความตึงเครียดด้านสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าแล้ว การใช้มาตรการปิดเมืองทั่วโลกเพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ผลกระทบจากปัญหา supply chain disruption เร่งตัวขึ้น ทำให้หลายบริษัทพิจารณาเน้นการผลิตในประเทศมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงในการหยุดชะงักการผลิตชั่วคราวเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตอีกครั้ง โดยตัวอย่างที่เกิดชัดเจนคือนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนำงบประมาณส่วนหนึ่งมาให้ความช่วยเหลือสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการการถอนฐานการผลิตออกจากจีน และย้ายกลับเข้าสู่ประเทศ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานในประเทศและลดการพึ่งพาต่างประเทศ
จากแนวโน้มที่ซบเซาด้านการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศของทั้งโลก จึงทำให้คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่จะมาลงทุนในไทยปีนี้ก็น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยจากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าสถิติการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติโดยรวมและในเขตพื้นที่ EEC มีมูลค่าลดลงถึง 67%YOY และ 70%YOY ตามลำดับ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 สะท้อนถึงผลกระทบของ COVID-19 ที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มลดลงมาก
แม้ว่าในปีนี้ แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติในพื้นที่ EEC อาจมีมูลค่าลดลง แต่ภาครัฐก็ควรเร่งสร้างพื้นที่ EEC ให้มีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อที่จะสามารถดึงดูดนักลงทุนชั้นนำจากต่างชาติได้ทันท่วงทีเมื่อเหตุการณ์ด้านโรคระบาดคลี่คลายและการลงทุนระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อแนะนำด้านนโยบายที่ควรทำของ Investment Promotion Agencies (IPAs) ในช่วงวิกฤติ COVID-19 ของทั้ง UNCTAD และ OECD พบข้อแนะนำที่ไทยอาจนำมาประยุกต์ใช้ได้ ดังนี้
- การให้ข้อมูลที่รวดเร็วเกี่ยวกับ COVID-19 และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ รวมถึงกฎระเบียบใหม่ ๆ ที่ต้องทำ เช่น เงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศ และการกักตัว เป็นต้น
- เตรียมกระบวนการขอลงทุนผ่านออนไลน์และเป็นรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น เนื่องจาก COVID-19 เป็นตัวเร่งให้เกือบทุกบริษัทมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้น รัฐจึงควรเตรียมการเพื่อความสะดวกและรวดเร็วของการยื่นขอสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน รวมไปถึงอาจต่อยอดนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์เพื่อดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมได้ในอนาคต
- ภาครัฐอาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ความสำคัญต่อการลงทุนในบางอุตสาหกรรมที่อยู่ในกระแสมากขึ้น เช่น ด้านการแพทย์ ด้านสาธารณสุขอิเล็กทรอนิกส์ (e-Health) และ E-commerce เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีความสำคัญมากขึ้นจากเหตุการณ์การระบาดของ COVID-19
- IPAs ควรทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างภาครัฐและนักลงทุนในช่วงวิกฤต ด้วยการรับฟังความต้องการจากฝั่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและนำไปเสนอให้ภาครัฐเพื่อออกนโยบายช่วงเหลือให้ตรงจุดและมีประสิทธิผล
เผยแพร่ในกรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ smart eec วันที่ 13 กรกฎาคม 2020