“ถึงเวลาย้ายฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์…จริงหรือ?”
วิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปจากไทยจริงหรือ? ถ้าเราได้ติดตามข่าวในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่ามีทั้งผู้ประกอบการที่ออกมาประกาศว่ายังคงไม่ย้ายฐานการผลิต ในขณะเดียวกัน บางรายก็มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตออกไปเพื่อกระจายความเสี่ยง แล้วในความเป็นจริง ถึงเวลาที่เราควรต้องกังวลแล้วหรือยัง?
ผู้เขียน: ปราณิดา ศยามานนท์
วิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปจากไทยจริงหรือ? ถ้าเราได้ติดตามข่าวในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่ามีทั้งผู้ประกอบการที่ออกมาประกาศว่ายังคงไม่ย้ายฐานการผลิต ในขณะเดียวกัน บางรายก็มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตออกไปเพื่อกระจายความเสี่ยง แล้วในความเป็นจริง ถึงเวลาที่เราควรต้องกังวลแล้วหรือยัง?
คงต้องยอมรับว่าวิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้ทำให้วงการอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกสั่นสะเทือนไม่มากก็น้อย และทำให้หลายประเทศเห็นบทบาทของไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำคัญของโลก โดยเฉพาะ Hard Disk Drive (HDD) ที่เริ่มขาดตลาดและราคาในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว! เนื่องจากการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Western Digital และ Toshiba ต้องหยุดชะงัก โดย 2 รายรวมกันมีส่วนแบ่งในตลาดโลกสูงถึงราว 40% และสัดส่วนการผลิตในไทยสูงถึงราวครึ่งหนึ่งของการผลิตทั้งหมด ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นแม้โรงงานจะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบเนื่องจากผู้ผลิตส่วนประกอบหลักใน supply chain ของ HDD หลายรายประสบกับภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะ spindle motor ซึ่งคาดว่าน่าจะหายไปราว 50% ของการผลิตทั้งหมดของโลก
ถ้ามองในแง่นี้แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำคัญหลายประเภท และมี supply chain ที่ค่อนข้างหลากหลาย จากการเคลื่อนย้ายทุนเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ชิ้นส่วน semiconductor แผงวงจรไฟฟ้า PCBA มาจนถึง HDD Optical media และสินค้าขั้นปลายต่างๆ โดยมีผู้ผลิตทั้งที่เป็น brand owner, ผู้รับจ้างผลิตตามรูปแบบและเครื่องหมายการค้าที่ลูกค้ากำหนด(Original Equipment Manufacturer: OEM) และบริษัท outsourcing จำนวนมาก ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่เลือกลงทุนในไทยเพราะมองว่ามีความพร้อมหลายด้านทั้งสาธารณูปโภค กฎระเบียบส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนแรงงานมีศักยภาพในการพัฒนาการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ดังนั้น การย้ายฐานการผลิตไปจากแหล่งที่มีความพร้อมเช่นนี้ภายในเวลาอันสั้นจึงน่าจะเกิดขึ้นได้ยากเพราะต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาใหม่และใช้เงินลงทุนสูง โดยเฉพาะด้านแรงงาน การจะสร้างความชำนาญให้กับแรงงานใหม่ต้องอาศัยเวลาในการฝึกอบรมและมีต้นทุน
...แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แม้ไทยจะเป็นฐานการผลิตใหญ่และพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตมาระดับนึงแล้ว แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะถ้าดูโครงสร้างการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทย จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งโดยมากจะเป็นการผลิตชิ้นส่วนตามคำสั่งและรับจ้างประกอบเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย ซึ่งอาศัยเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากบริษัทแม่ โดยมีการนำเข้าเครื่องจักรและชิ้นส่วนประกอบในสัดส่วนสูงและอาศัยแรงงานในการผลิตค่อนข้างมาก ขณะที่อุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น การผลิตแผ่น wafer และการออกแบบแผงวงจรซึ่งต้องใช้อาศัยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงยังมีไม่มากนัก ดังนั้น การย้ายฐานการผลิตไปบางส่วน โดยเฉพาะในส่วนที่เน้นแรงงานก็มีโอกาสเกิดได้มากขึ้น หากนักลงทุนเริ่มมองเห็นความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการลงทุนแต่ในไทยเพียงแห่งเดียว ประกอบกับค่าจ้างแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
การย้ายฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังแหล่งผลิตอื่นๆ ที่แม้จะด้อยพัฒนากว่าไทยและอาจต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่หากเล็งเห็นศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาวและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ คงไม่ใช้เรื่องยากในการตัดสินใจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญที่เป็นที่หมายตาของนักลงทุนต่างชาติ ถ้าดูตัวเลขการไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจะพบว่าเวียดนามแซงหน้าไทยไปแล้ว โดยมีเงินลงทุนมากกว่าไทยถึงราว 1.4 เท่าในปี 2010 โดยเงินทุนไหลเข้าเวียดนามเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในปี 2005-2007 ที่อยู่ที่ 3.7 เป็น 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2010 ขณะที่ของไทยลดลงจาก 9.6 มาอยู่ที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยสัดส่วนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามอยู่ที่ราว 30% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด อิเล็กทรอนิกส์ก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในปี 2008 ที่ Intel ผู้ผลิต chip ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้าไปลงทุนผลิตและทดสอบ chip ด้วยมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ถ้าดูผลสำรวจล่าสุดในปี 2011 ของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ป่น (JBIC) เกี่ยวกับความน่าสนใจลงทุนในต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่น จะพบว่าแม้ในระยะปานกลาง (3 ปี) ไทยจะอยู่ในอันดับ 3 สูงกว่าเวียดนาม แต่ถ้าดูแยกสาขาอิเล็กทรอนิกส์จะพบว่าไทยและเวียดนามมีอันดับที่เท่ากัน และที่น่ากังวลมากกว่าคือระยะยาวอีก 10 ปีข้างหน้า เวียดนามติดอันดับ 5 แซงหน้าไทยที่อยู่ที่อันดับที่ 6 ไปแล้ว ทั้งนี้ แม้ว่าความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามยังไม่อาจทัดเทียมไทยในหลายด้านทั้งทักษะแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน แต่เวียดนามยังมีจุดเด่นในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ค่าจ้างแรงงานแม้เริ่มปรับสูงขึ้นแต่ยังถูกกว่าไทย โดยต้นทุนแรงงานต่อหน่วยคิดเป็นประมาณ 70% ของต้นทุนแรงงานในไทยเท่านั้นและยังมีการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากขึ้น ขณะที่การให้สิทธิพิเศษเพื่อส่งเสริมการลงทุนก็จูงใจมากขึ้น อีกทั้งระบบการเมืองยังมีเสถียรภาพ จุดเด่นของเวียดนามเหล่านี้ทำให้ความได้เปรียบต่างๆ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้ต่างชาติตัดสินใจเลือกลงทุนในไทยในอดีตดูเหมือนจะกลายเป็นจุดอ่อนของไทยไปแล้วในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องค่าจ้างแรงงาน เสถียรภาพการเมือง และล่าสุดประเด็นคือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งส่งผลให้ไทยอาจไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศไว้ได้ในอนาคต
ไทยจึงควรเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้หนีคู่แข่ง โดยมุ่งไปสู่การผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มและใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น ได้แก่ การออกแบบสินค้าให้เป็นรูปแบบของตนเอง (Original Design Manufacturer: ODM) ซึ่งจะช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง อีกทั้งควรสร้างความเชื่อมโยงใน supply chain ให้มากขึ้น ตลอดจนยกระดับฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ดี แม้จะพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันไปไกลเพียงใด แต่ต้องยอมรับว่าความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติที่มีโอกาสเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นส่งผลให้นักลงทุนหวั่นไหวที่จะย้ายฐานการผลิตออกจากไทยไปมิใช่น้อย ดังนั้น ถ้ายังไม่สามารถพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตได้ การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตคงเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ การบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติน้ำท่วมซ้ำรอยเดิมอีกจึงอาจกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนเสียยิ่งกว่าการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเสียอีกเพื่อไม่ให้ประเทศอื่นช่วงชิงความเป็นฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญของโลกไปได้