SHARE
SCB EIC BRIEF
18 พฤศจิกายน 2019

FTA ไทย-ยุโรป: สำคัญอย่างไร และเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว?

FTA ไทย-ยุโรป: สำคัญอย่างไร และเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว?



iStock-1092580134.jpg

“สหภาพยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในประชาคมโลก มีประเทศเป็นสมาชิกถึง 28 ประเทศ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อีกทั้งยังเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 ของไทย และเป็นนักลงทุนสำคัญ มีความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ ที่เกื้อหนุนเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย การจัดทำ FTA กับสหภาพยุโรปจะเป็นการขยายตลาดและสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย”

ที่มา: นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ, กรกฎาคม 2019  (สรุปจากสำนักข่าวมติชน)

ทำไมความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ยุโรปจึงสำคัญ

สหภาพยุโรปนับเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย (อันดับที่ 4 รองจากอาเซียน 5 จีน และสหรัฐฯ) รวมถึงยังมีมูลค่าลงทุนทางตรงในไทย (FDI Inflow) มากถึง 6,441 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 สูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ของไทยรองจากญี่ปุ่น จีน และอาเซียน ดังนั้น การทำข้อตกลงด้านการค้ากับสหภาพยุโรปจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยจากการที่ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปจากสหภาพยุโรป (GSP) ในปี 2015[1] ประกอบกับหากเปรียบเทียบคู่แข่งด้านการส่งออกของไทยในภูมิภาค พบว่าไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรป ตัวอย่างเช่น หากเทียบกับเวียดนาม จะพบว่าในปัจจุบัน เวียดนามมีทั้งสิทธิพิเศษจาก GSP และมี FTA กับสหภาพยุโรป จึงทำให้ส่วนแบ่งการส่งออกสินค้าในตลาดสหภาพยุโรปของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสูงกว่าสัดส่วนของไทยที่ค่อนข้างคงที่นับตั้งแต่ปี 2012 (รูปที่ 1) ในส่วนของสิงคโปร์ ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่บรรลุความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปแล้วเช่นกัน โดยพึ่งเริ่มมีการบังคับใช้เมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 2019 ที่ผ่านมา ขณะที่ในส่วนของอินโดนีเซีย แม้จะมีส่วนแบ่งตลาดส่งออกในยุโรปน้อยกว่าไทย แต่อินโดนีเซียอยู่ในระหว่างการเจรจากับสหภาพยุโรปซึ่งมีความคืบหน้ามากกว่าไทย ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงควรเร่งการเจรจากับสหภาพยุโรปเพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดยุโรปไว้

pic_article01.png
 

ความตกลงการค้าเสรีไทย-ยุโรปเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว?

เดิมทีไทยและสหภาพยุโรปเคยเจรจากันภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียนและสหภาพยุโรป โดยเริ่มต้นเจรจาในเดือนพฤษภาคม 2007 และมีการเจรจากันไปถึง 7 ครั้ง ก่อนที่จะมีการหยุดพักหลังการเจรจาครั้งสุดท้ายในเดือนมีนาคมปี 2009 เนื่องจากปัญหาทางการเมืองของประเทศเมียนมา หลังจากนั้นสหภาพยุโรปได้เปลี่ยนไปใช้วิธีการเจรจากับกลุ่มประเทศในอาเซียนเป็นรายประเทศแทน โดยกลับมาเจรจากับไทยในปี 2013 และมีการหยุดพักไปในปี 2014 เนื่องจากปัญหาทางการเมืองของไทย อย่างไรก็ดี ล่าสุดหลังจากที่ไทยมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2019 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจึงมีแผนกลับไปเจรจากับสหภาพยุโรปอีกครั้ง โดย ณ ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปภายในเดือนธันวาคม 2019 นี้              

 

โอกาสในด้านการค้าขายสินค้าระหว่างไทยและสหภาพยุโรป

ความตกลงการค้าเสรีไทย-ยุโรปจะช่วยลดภาษีนำเข้าสินค้าที่จะนำมาสู่โอกาสในการได้ประโยชน์จากทั้งการส่งออกและการนำเข้าของไทย ดังนี้  

การส่งออกสินค้าไทยมีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้นจากภาษีที่จะปรับตัวลดลง โดยสินค้าสำคัญที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์หากมีการปรับลดภาษี ได้แก่ 1) สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยุโรป เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ, แผงวงจรไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และ 2) สินค้าที่มีการจ่ายภาษีนำเข้าสูงในปัจจุบัน เช่น ยานยนต์, ทูน่า, ผลไม้-แห้ง-และแช่แข็ง, อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ, เครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน และเครื่องแต่งกาย

การนำเข้าสินค้าไทยมีโอกาสนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปด้วยต้นทุนที่ลดลง โดยสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากยุโรป ได้แก่ เครื่องจักร, เคมีภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์เวชกรรม-เภสัชกรรมและการแพทย์ และเครื่องบิน รวมถึงสินค้าอื่น ๆ ที่มีรายจ่ายภาษีนำเข้าสูง เช่น ยานยนต์, นมผง-นมอัดเม็ด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, และเครื่องสำอาง

ทั้งนี้สำหรับรายละเอียดของการลดภาษีสินค้าส่งออกและนำเข้านั้น ยังต้องติดตามรายละเอียดของประเภทสินค้าที่จะมีการปรับลดภาษีซึ่งจะได้ข้อสรุปหลังการเจรจาเสร็จสิ้น โดยสินค้าบางรายการ เช่น สินค้าที่กำหนดไว้ในรายการสินค้าอ่อนไหว อาจยังไม่ถูกปรับลดภาษีในช่วงระยะแรกและอาจใช้เวลานานถึง 10 ปี สำหรับการปรับลดภาษีลงจนถึง 0%
 

โอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

ในการทำความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปนั้น นอกจากจะเป็นความตกลงด้านการค้าเสรีแล้ว ยังมีข้อตกลงเกี่ยวกับการลงทุนด้วย โดยจากการศึกษา FTA ของสหภาพยุโรปกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น เวียดนามและสิงคโปร์ พบว่าสหภาพยุโรปมีข้อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงและยกระดับหลายกฎเกณฑ์เพื่อส่งเสริมการลงทุนของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปในประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น กฎหมายระบุให้มีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อนักลงทุน กฎหมายสิทธิด้านแรงงาน การปรับปรุงระบบศาลการลงทุน การทำให้สัญญาอิเล็กทรอนิกส์มีผลทางกฎหมาย และการเคลื่อนย้ายแรงงานขั้นสูง เป็นต้น ซึ่งหากไทยสามารถปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าวได้ ก็จะนับเป็นการยกระดับความสามารถของไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุด พบว่าประเภทธุรกิจสำคัญที่สหภาพยุโรปเข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ การผลิตเคมีภัณฑ์, การผลิตยานยนต์, กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย, การขายส่งและปลีก และการผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ โดยหากไทยมีข้อตกลงทางการค้าเสรีกับยุโรป ก็อาจมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมากขึ้น รวมถึงอาจมีการลงทุนจากสหภาพยุโรปในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้

นอกจากนักลงทุนจากสหภาพยุโรปแล้ว ไทยยังมีแนวโน้มดึงดูดนักลงทุนจากชาติอื่นที่มีจุดประสงค์ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย เพื่อประโยชน์ทางการค้ากับสหภาพยุโรปอีกด้วย โดยการยกระดับมาตรฐานในหลายกฎเกณฑ์ที่สหภาพยุโรปเรียกร้องเป็นปัจจัยที่จะช่วยเสริมความมั่นใจของนักลงทุนได้ ซึ่งการลงทุนจากต่างชาติที่มากขึ้นมีแนวโน้มสร้างประโยชน์ทางอ้อมที่ไทยจะได้เรียนรู้ทักษะและความรู้ด้านนวัตกรรมจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติมเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป

ทั้งนี้ Brexit ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา เนื่องจากสหราชอาณาจักร (UK) เป็นหนึ่งในประเทศสำคัญของสหภาพยุโรปที่มีการค้าและการลงทุนกับไทยในระดับสูง (รูปที่ 2) โดยไทยมีสัดส่วนการส่งออกไป UK มากถึง 16.2% ต่อการส่งออกรวมไปสหภาพยุโรป และมีการนำเข้าจาก UK สูงถึง 13.4% ต่อการนำเข้ารวมจากสหภาพยุโรป สำหรับด้านการลงทุนทางตรง (FDI inflows) พบว่ามีเงินลงทุนทางตรงจาก UK คิดเป็นสัดส่วนถึง 16.1% ของการลงทุนทางตรงจากสหภาพยุโรปทั้งหมด ดังนั้นหาก UK ออกจากสหภาพยุโรปจริง นอกจากการที่ไทยต้องเร่งเจรจากับสหภาพยุโรปแล้ว ไทยยังควรพิจารณาเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีในระดับทวิภาคีกับ UK เพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับ UK

pic_article02.png

1 สหภาพยุโรปจะยกเลิกการให้สิทธิพิเศษ GSP กับประเทศที่ถูกจัดอันดับโดยธนาคารโลกให้อยู่ในกลุ่มที่มี GNI per capita ตั้งแต่ระดับปานกลางค่อนข้างสูงซึ่งอยู่ระหว่าง 3,945-12,195 ดอลลาร์สหรัฐ ติดต่อกัน 3 ปี ซึ่งในปี 2010-2012 ประเทศไทยมี GNI per capita มูลค่า 4,320, 4,620, และ 5,210 ดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ จึงอยู่ในเกณฑ์ถูกตัดสิทธิดังกล่าว

_______________

เผยแพร่ในนิตยสารการเงินธนาคาร คอลัมน์ เกร็ดการเงิน ประจำเดือน พฤศจิกายน 2562

ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ยอมรับ